ทฤษฎี แนวคิด ปรัชญา
และอุดมการณ์ทางการเมือง
และอุดมการณ์ทางการเมือง
ทฤษฎีการเมือง (Political
Theory)
คือ ชุดของคำอธิบายที่มีต่อระบอบการเมือง ปรากฏการณ์ทางการเมือง
ภายใต้หลักของเหตุผล ที่ผ่านการพิสูจน์หรือทดลองมาแล้ว
แนวคิดทางการเมือง (Political Thoughts)
คือ ความคิดความเข้าใจในเรื่องการเมืองของบุคคลหนึ่ง หรือหลายคน
ที่แสดงออกมาเพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งๆ นั้นคืออะไร และควรเป็นไปอย่างไร
ปรัชญาทางการเมือง (Political Philosophy)
เป็นวิชาที่ว่าด้วย ความคิดเกี่ยวกับตีความ การสร้าง และกำหนดสิทธิ หน้าที่
ตลอดถึงความสัมพันธ์ตามแบบฉบับในการดำเนินชีวิตร่วมกันของมนุษย์
อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideologies)
คือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อระบอบการเมือง หรือต่อผู้นำ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่านิยม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคน หรือเป็นระบบความคิด ความเชื่อ
หรือความศรัทธาของกลุ่มสังคมใดสังคมหนึ่งที่มีต่อระบบการเมือง การปกครอง
ซึ่งระบบความเชื่อต่างๆ นี้จะสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบของการเมือง
หลักการในการปกครอง วิธีดำเนินการปกครองของสังคมนั้น
อุดมการณ์มีวัตถุประสงค์อยู่ 3 ประการ
1.เพื่อธำรงรักษาระบบและสภาพการณ์เดิมของสังคมไว้
2.เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในตัวระบบและการจัดระเบียบสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง
3.เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพการณ์ใหม่อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น
หน้าที่และประโยชน์ของอุดมการณ์ทางการเมือง
1. อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นตัวกำหนดบทบาทของบุคคลในระบบสังคมและการเมืองพร้อมทั้งวางแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในวิถีของระบบนอกจากนั้นอุดมการณ์ทางการเมืองยังทำหน้าที่นำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของมวลสมาชิกอีกด้วย
2. ทำให้ระบบการเมือง
สังคมและเศรษฐกิจเป็นที่ยอมรับของสมาชิกเพราะว่าในการคงอยู่ของระบบสังคมจะขึ้นอยู่กับการยอมรับของสมาชิกซึ่งอุดมการณ์ทางการเมืองจะทำหน้าที่ 3. อุดมการณ์ทางการเมืองทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการระดมพลเพื่อจุดมุ่งหมายในทางการเมืองหรือการพัฒนาประเทศ
4.
เป็นการใช้พยากรณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับระบบสังคม
เศรษฐกิจและการเมืองในอนาคตซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จริงหรือเป็นลักษณะที่เพ้อฝัน
แม้ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองจะมีอยู่หลายรูปแบบแต่ว่ารูปแบบที่จะศึกษาจะเป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลอยู่ในยุคปัจจุบันก็คือ
เสรีนิยม สังคมนิยมและประชาธิปไตย
ดังกล่าว
ประเภทของอุดมการณ์ทางการเมือง
กลุ่มที่ 1 เน้นเรื่องการใช้อำนาจรัฐ
1. เสรีนิยม (Liberalism) หมายถึง
ความเชื่อและหลักในการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดก็คือ “การรักษาเสรีภาพของบุคคลให้กว้างขวางมากที่สุด” เสรีนิยมมีจุดเริ่มต้นสำคัญในศตวรรษที่ 17 โดยจอห์น ล็อค (John
Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษ
แนวคิดและหลักการของอุดมการณ์เสรีนิยมได้มีนักคิดหลายท่านที่ได้ให้แนวคิดและหลักการไว้
ซึ่งสามารถสรุปหลักการที่สำคัญๆได้ดังต่อไปนี้
1. ให้คุณค่าในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี
2.
มีความเชื่อถือและยึดมั่นว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถนำไปใช้ได้
3.
พยายามรักษานโยบายหรือสถาบันต่างๆในการรักษาและปกป้องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
4.
เสรีนิยมจะให้ความสำคัญต่อบุคคลแต่ก็ยังสนับสนุนความคิดแบบพหุนิยม
4.1 เสรีภาพส่วนบุคคล เน้นปัจเจกบุคคล
4.2 ธรรมชาติของมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์เป็นคนดีมีเหตุผล
4.3 เหตุผล ให้ความสำคัญต่อเหตุผล
4.4 ความก้าวหน้าให้ความสำคัญกับการพัฒนา
4.5 ความเท่าเทียมกัน
4.6 ความเป็นสากลใช้ได้ทั่วโลก
4.7 รัฐบาลต้องมาจากประชาชน
4.8 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ
รัฐต้องอำนวยความสะดวกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
2. อุดมการณ์ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย (Democracy)
มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำก็คือ “demos” ที่นิยมแปลกันว่า “ประชาชน” และ
“Kratos” ที่หมายถึงอำนาจและการปกครอง
สำหรับบางคนได้เรียนรู้คำว่าประชาธิปไตยมาจากประธานาธิบดีอับราฮัม
ลินคอล์น ที่ท่านได้กล่าวว่าประชาธิปไตยคือ “การปกครองของประชาชน
โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
ประชาธิปไตยในฐานะอุดมการณ์ทางการเมืองรูปแบบหนึ่งเกิดขึ้นในครึ่งหลังของคริสตวรรษที่
18 เมื่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองแบบที่ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง”
โดยเฉพาะเมื่อเกิดการปฏิวัติอเมริกาโดยในครั้งนั้นได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องสัญญาประชาคมของยุโรปที่ได้รับการเผยแพร่จากนักคิดชาวอเมริกันที่ชื่อ
โทมัส เจฟเฟอร์สัน
ลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่มีปัจจัยหรือองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างน้อย
4 ประการด้วยกันก็คือ
1. การศึกษาสาธารณะ
2.
การมีส่วนร่วมทางการเมือง
3. ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ
4. การมีตัวแทนจาก “อภิชนตามธรรมชาติ”
สำหรับหลักการของอุดมการณ์ประชาธิปไตยมีอยู่มากมายแต่ที่หลักการที่สำคัญๆที่จะกล่าวถึงก็ คือ
1. อำนาจเป็นของประชาชน
2. สิทธิ เสรีภาพ
และความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล
3.
การปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่
4.
รัฐบาลที่เปิดเผยและตรวจสอบได้
5.สาธารณะประโยชน์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประเทศยังมีความเข้ม
แข็งน้อยมาก
รูปแบบแรกเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่สร้างความเร้าใจและปลุกความตื่นตัวในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นแบบ
“passive ideology”
3.อนุรักษ์นิยม (Conservatism)
3.1 เน้นความมีระเบียบและความมีเสถียรภาพ
3.2
โดยธรรมชาติมนุษย์มีแก่นแท้ที่ไม่ดี มีความชั่วร้าย
3.3
ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าเหตุผล
3.4
ให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
3.5
เน้นเสรีภาพมากกว่าความเสมอภาค
3.6
เน้นความหลากหลายมากกว่าสากลนิยม
3.7 เน้นเสรีภาพแต่รัฐบาลยังเป็นสิ่งที่จำเป็น รัฐบาลควรให้เสรีภาพแก่เอกชน
4. ฟาสซีสม์ (Fascism)
ฟาสซิสม์ถือกำเนิดในอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่
20
โดยกลุ่มการเมืองที่รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ในการยุติความเป็นกลางของอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่
1 และสนับสนุนให้อิตาลีเข้าร่วมสงคราม
แม้ว่าในตอนแรกกลุ่มนี้จะไม่มีเป้าหมายในการก่อตั้งองค์กรก็ตาม แต่เบนิโต
มุสโสลินี (Benito Mussolini) ปัญญาชนสังคมนิยมก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของอุดมการณ์ฟาสซิสม์ในอิตาลี
ฟาสซิสม์เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เพิ่มประสิทธิภาพในทางการผลิตมากที่สุดภายในเวลาที่น้อยที่สุด
เพราะภายใต้ฟาสซิสม์ สังคมจะดำเนินไปพร้อมๆ กันภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน
ไม่มีใครคัดค้านการนำของผู้นำ ในแง่หนึ่งฟาสซิสม์จึงเป็นอุดมการณ์ที่อันตราย
เพราะไม่มีฝ่ายใดจะช่วยถ่วงดุลการใช้อำนาจของผู้นำไว้ได้เลย
ส่วนความหมายของคำว่าฟาสซิสม์ (fasism) นั้น ถูกนำมาใช้จากศัพท์ลาตินว่า Fasces ซึ่งแปลว่า
การผูกไว้ด้วยกัน แต่ใช้ในความหมายว่า อำนาจที่มาจากความสามัคคี หลักการสำคัญ
รัฐมีอำนาจเหนือปัจเจกชน
4.2
เน้นความเป็นชาตินิยม
4.3 ต่อต้านเสรีนิยม
4.4
ชื่นชอบลัทธิทหาร ส่งเสริมแสนยานุภาพกองทัพ
4.5 เชิดชูผู้นำ ปกครองโดยระบอบเผด็จการ
4.6 ต่อต้านคอมมิวนิสต์
กลุ่มที่ 2 เน้นเรื่องเศรษฐกิจ
1. ทุนนิยม (Capitalism)
ลัทธิทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจ (ไม่ใช่ระบบการเมือง)
ที่เกิดขึ้นและพัฒนามาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 องค์ประกอบของระบบทุนนิยมที่จะกล่าวต่อไปนี้ได้ปรากฏอยู่ในผลงานของอาดัม
สมิท (Adam Smith) ที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่อง Inquiry
into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม
The Wealth of Nations
ลัทธินี้เกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้าน ลัทธิพานิชยนิยม (mercantilism) คือระบบเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีความมั่นคงของรัฐขึ้นอยู่กับทองคำเงิน
และโลหะอื่นๆ
ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเพื่อการหามาซึ่งโลหะมีค่า
ซึ่งทั้งนี้ความมั่งคั่งจะกระจุกอยู่ที่รัฐบาลและพันธมิตรของรัฐบาลเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
หลักการสำคัญ
1.1
เป็นระบบเศรษฐกิจไม่ใช่ระบอบการเมือง
1.2 เน้นทรัพย์สินส่วนบุคคล เอกชนสามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
1.3 ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรี
(ระบบตลาด)
1.4
มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน
2. สังคมนิยม (Socialism)
สังคมนิยมหมายถึง
ระบบเศรษฐกิจการเมืองที่มีแนวคิดในการสนับสนุนให้สังคมชุมชนครอบครองกรรมสิทธิ์ส่วนรวมร่วมกัน
เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางเพื่อผลประโยชน์ของชุมชนโดยส่วนรวม
ความเป็นมาของแนวคิดสังคมนิยมไม่อาจจะทราบถึงที่มาที่แน่ชัดได้
ซึ่งนักคิดบางท่านก็ได้กล่าวว่าการดำรงชีวิตแบบอุดมคติในหนังสือของเพลโตเรื่อง “The Republic” นั้นเป็นลักษณะของสังคมนิยม
สรุปหลักการที่สำคัญของสังคมนิยม
1. หลักเหตุผลและหลักมนุษยธรรม
2. หลักจริยธรรมและหลักอุดมคติ
2.1 เน้นการวางแผนจากส่วนกลาง
2.2 เอกชนจะได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจตามส่วนเฉลี่ยของผลงาน
2.3 กิจการขนาดกลาง – ขนาดใหญ่ à รัฐบาลเป็นเจ้าของ
โดยเฉพาะกิจการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคของประชาชน
3. หลักของเฟเบียน
4. หลักเสรีนิยม
3. คอมมิวนิสต์ (Communism)
ผู้วางรากฐานแห่งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)
คอมมิวนิสต์ (Communism)
สาระสำคัญเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์หรือทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist) คือ “วิภาษวิธีทางวัตถุ” หรือ “วัตถุนิยมเชิงวิภาษ”
หรือ “วัตถุนิยมวิภาษวิธี” (Dialectical
Materialism) ซึ่งมีความเห็นว่า
สิ่งที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์มากที่สุด คือ “วัตถุ” ส่วน “จิต” หรือ “ความคิด” จะได้รับอิทธิพลจากสภาวะทางวัตถุ
ดังนั้นความดีหรือความชั่วในทฤษฎีของมาร์กซ์จะตีค่าออกมาในรูปของวัตถุ
ลำดับขั้นของการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคอมมิวนิสต์
1) การปฏิวัติอุตสาหกรรม
ก่อให้เกิดระบบทุนนิยม
2)
ต่อมาเกิดความสำนึกร่วมกันของชนชั้นกรรมชีพ ได้ทำการปฏิวัติ
3) ได้มีการก่อตั้งรัฐบาล
โดยพรรคคอมมิวนิสต์
4) รัฐบาลและรัฐจะสลายตัวไป สังคมอุดมคติ
จุดประสงค์ของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ
มุ่งก่อตั้งสังคมไร้ชนชั้น โดยที่ปัจจัยการผลิต การกระจายจ่ายปัน
และการแลกเปลี่ยนทุกชนิดจะเป็นของประชาคมรัฐ
แนวคิด เลนิน (Leninism)
1) ต้องปฏิวัติในแนวทางวิทยาศาสตร์
2)
ในกระบวนการปฏิวัติต้องอาศัยผู้นำในการโค่นล้มนายทุน
แนวคิด สตาลิน (Stalinism)
1) ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
2)
มุ่งให้โซเวียตทำสงครามเพื่อขยายอาณาเขต
แนวคิด
ลัทธิเหมา (Maoism)
มีแนวทางการปฏิวัติจีนไปเป็นคอมมิวนิสต์แบบก้าวกระโดด
จากกสิกรรมคอมมิวนิสต์ โดยข้ามอุตสาหกรรมและสังคมนิยม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น