ลักษณะและรูปแบบของรัฐ
(The Nature and the Forms of State)
ความหมายของรัฐ
รัฐ
ความหมาย
รัฐ คือ
สมาคมของมนุษย์จำนวนหนึ่งครอบครองดินแดนแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตแน่นอน
รวมกันอยู่ภายใต้รัฐบาลหนึ่ง ถ้าเป็นกิจการภายในเป็นองค์การแสดงออกซึ่งอธิปไตย
แต่ถ้าเป็นกิจการภายนอกเป็นอิสระจากการบังคับบัญชาของรัฐบาลอื่น
องค์ประกอบของรัฐ
ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ
1. มีประชาชนจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่
· จำนวน
· คุณภาพประชากร
· พลเมือง-คนต่างด้าว-ผู้อพยพ
2. มีดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน
· รัฐจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีอาณาเขตแน่นอน
· ขนาดของแผ่นดิน - พื้นน้ำ
- พื้นดิน
- พื้นอากาศ
3. มีรัฐบาล
หมายถึงองค์การและคณะบุคคลที่ใช้อำนาจในการปกครองประเทศอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลของรัฐอื่นใด
ประกอบด้วย
· ฝ่ายนิติบัญญัติ
· ฝ่ายบริหาร
· ฝ่ายตุลาการ
4. มีอำนาจอธิปไตย
หมายถึง อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
เมื่อรัฐมีอำนาจอธิปไตยรัฐจึงมีอำนาจเหนือบุคคลทุกคน และสมาคมทุกสมาคม
ในดินแดนของรัฐโดยไม่มีข้อยกเว้น
อำนาจอธิปไตย
แบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ
1. อำนาจอธิปไตยภายใน
เป็นอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมาย รักษากฎหมาย และการใช้กฎหมายในเขตดินแดนของรัฐนั้น
2. อำนาจอธิปไตยภายนอก
เป็นผู้ที่รัฐดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐอื่น ๆ รวมถึงอำนาจที่จะประกาศสงครามหรือทำสัญญาสันติภาพได้อย่างอิสระโดยปราศจากการบังคับบัญชาของรัฐอื่น
อำนาจอธิปไตยภายนอก คือ เอกราชของรัฐ
ความหมายของ “รัฐ” กับ “ประเทศ”
รัฐ เน้น ด้านการปกครอง
ประเทศ เน้น ด้านภูมิศาสตร์
ความหมายของ “รัฐ” กับ “ชาติ”
รัฐ เน้น ด้านการเมือง
ชาติ เน้น ด้านวัฒนธรรม
ความหมายของ “ชาติ” กับ “สัญชาติ”
ชาติ เน้น ด้านวัฒนธรรม
สัญชาติ เน้น ด้านวัฒนธรรมและด้านการเมือง
ความหมายของ “รัฐ” กับ “รัฐบาล”
รัฐ เน้น ด้านการเมืองมีความเด็ดขาด มีอำนาจสูงสุด ถาวร มีอิสรภาพ
รัฐบาล เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐ
ดำเนินการแทนรัฐ เปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอธิปไตย แต่ใช้อำนาจอธิปไตยแทนรัฐ
“รัฐ” กับ “องค์การระหว่างประเทศ”
รัฐ มีอำนาจอธิปไตย มีอำนาจเหนือองค์การในประเทศ องค์การระหว่างประเทศ แม้จะประกอบด้วยประเทศเอกราชเป็นสมาชิก
แต่องค์การเหล่านี้ เช่น สหประชาชาติ นาโต้ อาเซียน หาได้มีอำนาจปกครอง
บังคับบัญชารัฐสมาชิกไม่
รัฐสมาชิกยังคงความเป็นเอกราชและไม่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชา คำสั่ง/การควบคุมขององค์การระหว่างประเทศ
ความเป็นมาของรัฐ มีทฤษฎีที่สำคัญ ๆ คือ
1. ทฤษฎีธรรมชาติ
รัฐเกิดขึ้นจากธรรมชาติ และวิวัฒนาการของมนุษย์
2. ทฤษฎีเทวสิทธิ์
รัฐเกิดจากพระเจ้า
3. ทฤษฎีสัญญาประชาคม
รัฐเกิดจากสัญญาประชาคม
4. ทฤษฎีพลกำลัง
รัฐเกิดจากการใช้อำนาจยึดครอง
5. ทฤษฎีวิวัฒนาการ
(Ecolutionary
Theory) รัฐเกิดวิวัฒนาการหลายระดับ
ตั้งแต่ระดับเล็กที่สุด จนระดับใหญ่ที่สุด ได้แก่ วงศาคณาญาติ เผ่าพันธุ์ นครรัฐ
จักรวรรดิ รัฐขุนนาง รัฐชาติ รัฐโลก
การรับรองรัฐ (Recognition)
การรับรองรัฐ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
คือ
1. การรับรองข้อเท็จจริงหรือโดยพฤตินัย
(De Facto
Recognition)
เป็นการรับรองรัฐใดรัฐหนึ่งในฐานะที่รัฐนั้นเกิดขึ้นตามสภาพความเป็นจริง
แต่ยังไม่อาจรับรองในรูปกฎหมาย คือการให้สัตยาบัน
แม้ว่าจะมีรัฐเกิดขึ้นใหม่แต่รัฐอื่นที่สงสัยจึงไม่ยอมรับตามกฎหมาย
แต่รับรองตามข้อเท็จจริงไปก่อน อาจจะยาว เช่น
สหรัฐอเมริการับรองสหภาพโซเวียตรัสเซีย 1917-1933 (16 ปี)
2. การรับรองตามกฎหมายหรือรับรองโดยนิตินัย
(De Jure
Recognition)
เป็นการรับรองตามกฎหมายหรือนิตินัย และมีผลถูกต้องตามกฎหมาย
เป็นการรับรองสภาพความถูกต้องของรัฐ มีลักษณะเป็นทางการ ถาวร
มีความสัมพันธ์ทางการฑูตมีการให้สัตยาบันต่อกัน เช่น
สหรัฐอเมริการับรองสหภาพโซเวียตรัสเซีย 1917-1933 (16 ปี) เป็นระบบ De Facto พอปี 1933 รับรองแบบ De Jure เป็นการรับรองอย่างเป็นทางการและถาวร
ปัญหาของรัฐ
1.
ปัญหาเชื้อชาติ
2.
ปัญหาภาษา
3.
ปัญหาศาสนา
4.
ปัญหาขนบธรรมเนียมประเพณี
5.
ปัญหาภูมิอากาศ
6.
ปัญหาที่ตั้ง
7.
ปัญหาทรัพยากร
8.
ปัญหาประชากร
9.
ปัญหาการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้
รัฐต่าง ๆ ย่อมต้องประสบปัญหาไม่มากก็น้อย รัฐที่มีเชื้อชาติ ภาษา
ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีเดียวกัน ความสามัคคีก็มีมาก รัฐที่มีความแตกต่างกันมาก
ความขัดแย้งภายในก็ย่อมมีมากรัฐใดที่อยู่ในเขตอบอุ่นที่ตั้งเหมาะสม มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
มีประชากรที่มีคุณภาพ สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ก็มาก
รัฐนั้นก็จะมีอำนาจแห่งชาติมาก
อำนาจอธิปไตย
ความหมาย
อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ(รัฐ) ทำให้รัฐมีอำนาจในการดำเนินกิจการภายในรัฐ
และกิจการระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่
ทำให้รัฐมีอำนาจบังคับและทำให้รัฐสามารถใช้กำลังเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับที่รัฐกำหนดขึ้น
อำนาจอธิปไตย จึงแสดงออก (Manifesto)
มาทางรัฐบาล
โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลได้แยกอำนาจอธิปไตยตามลักษณะหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการออกกฎหมาย รัฐสภา (ส.ส.และ ส.ว.) ทำหน้าที่แทนปวงชนในการออกกฎหมาย
เพื่อรักษาความสงบภายในและนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีและความมั่นคงของรัฐ
2. อำนาจบริหาร คือ อำนาจซึ่งคณะรัฐมนตรี
และข้าราชการทั้งหลายใช้ในการบริหารปกครองประเทศตามกฎหมายซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราออกมา
3. อำนาจตุลาการ คือ อำนาจศาล มีอำนาจตัดสินคดี ข้อขัดแย้งต่าง ๆ
ระหว่างบุคคลกับบุคคลหรือบุคคลกับรัฐตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราออกมา
ข้อจำกัดการใช้อำนาจอธิปไตย
ในทางทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดเด็ดขาดและไม่มีข้อจำกัดการใช้ก็จริง
แต่ในทางปฏิบัติมีข้อจำกัด
1. จำกัดโดยขนบประเพณีและศีลธรรม
2. จำกัดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ
3. จำกัดโดยสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ
การควบคุมรัฐ
ไม่มีรัฐใดในโลกที่มีเอกราชสมบูรณ์ จะถูกควบคุมไม่มากก็น้อย
โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้
1. Capitulation สิทธิสภาพนอกอาณาเขต
2. Colonies อาณานิคม
3. Satellite ประเทศบริวาร
4. Deterrence นโยบายป้องปราบ
5. Good Will/ Popularity การแสวงหาคะแนนนิยม
อำนาจอธิปไตยในปัจจุบัน
- ในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย
ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
- ในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ
ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้เผด็จการ ผู้เผด็จการจะใช้อำนาจอธิปไตยนี้ไปในทางใด ๆ
ก็ได้
ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตย
1. มีความสมบูรณ์
(Absoluteness)
คือ
จะไม่มีอำนาจอื่นภายในรัฐเหนือกว่าและจะไม่มีอำนาจอื่นที่มาจำกัดอำนาจการออกกฎหมายของรัฐ
2. มีลักษณะเป็นการทั่วไป
(Universality)
อำนาจอธิปไตยของรัฐที่มีอยู่เหนือคนทุกคน
และทุกองค์การที่อยู่ภายในรัฐ ใช้ได้เป็นการทั่วไป ยกเว้นผู้แทนทางการฑูต
3. มีความถาวร
(Permanence)
อำนาจอธิปไตยของรัฐยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังมีชีวิตอยู่
ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา เมื่อรัฐถูกทำลายเท่านั้น
อธิปไตยจึงจะสูญสลายไปจากรัฐ
4. แบ่งแยกมิได้
(Indivisibility)
ในรัฐหนึ่ง ๆ
จะต้องมีอธิปไตยเพียงหน่วยเดียวเท่านั้น
ถ้ามีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยก็เท่ากับเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตย
ประเภทของอำนาจอธิปไตย
นักวิชาการแบ่งประเภทของอำนาจอธิปไตยเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. อำนาจอธิปไตยทางการเมือง
(Legal
Sovereignty) คือ
อำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายและอำนาจที่จะแสดงออกในรูปของกฎหมาย
ซึ่งเป็นบทบัญญัติสูงสุดของรัฐ
2. อำนาจอธิปไตยทางการเมือง
(Political
Sovereignty) คือ ความเห็นหรือเจตนารมย์ของประชาชนที่จะแสดงออกในฐานะผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทางการเมือง
เช่น การเลือกตั้ง ส.ส. , ส.ว. การออกกฎหมาย
3. อำนาจอธิปไตยโดยนิตินัย
(De Jure
Sovereignty) คือ อำนาจอธิปไตยตามกฎหมาย
อำนาจอธิปไตยจะตกอยู่กับรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐบาลที่เกิดตามวิถีทางการเมือง
หรือการได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน
4. อำนาจอธิปไตยโดยพฤตินัย
(De Facto
Sovereignty) คือ
อำนาจอธิปไตยที่ตกอยู่กับรัฐบาลที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งผิดกฎหมายที่มีอยู่
แต่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอันเกิดจากการปฏิวัติรัฐประหาร
5. อำนาจอธิปไตยภายใน
(Internal
Sovereignty) คือ
อำนาจอธิปไตยซึ่งรัฐบาลสามารถใช้ในการปกครองประเทศได้อย่างเต็มที่
โดยปราศจากการควบคุมจากผู้อื่น
6. อำนาจอธิปไตยภายนอก
(External
Sovereignty) คือ ความเป็นเอกราชของรัฐ
ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการควบคุมจากผู้อื่น
7. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
(Popular
Sovereignty) ประชาชนสามารถแสดงออกโดยการเลือกตั้ง
การแสดงมติมหาชน การตัดสินปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน
ปวงชนสามารถแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยได้ดังต่อไปนี้
1. การออกเสียงเลือกตั้ง
(Election)
เป็นการแสดงออกเลือกรัฐบาล
การเลือกตั้งจะต้องยุติธรรม โดยยึดหลัก One Man, Ona Vote
2. การออกเสียงประชามติ
(Referendum)
เป็นการใช้ประชาชนแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของปวงชนในการตัดสินปัญหาที่สำคัญ
ๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การรวมรัฐ เป็นต้น
3. ประชาพินิจ
(Plebiscite)
วิธีการให้ประชาชนตัดสินปัญหาต่าง ๆ
เมื่อรัฐบาลไม่สามารถตัดสินปัญหาได้มักจะเป็นเรื่องของเทศบาล สุขาภิบาล หรือเรื่องของท้องถิ่น
4. ปวงชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย
(Initiative)
ปกติการออกกฎหมายเป็นหน้าที่ของรับสภา
แต่บางประเทศ เช่น ไทย สวิส สหรัฐอเมริกา ประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายได้
5. การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ
ๆ (Recall) เป็นวิธีการให้ประชาชนเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ
ได้โดยเฉพาะตำแหน่งที่ได้มาโดยการเลือกตั้ง
6. การแสดงประชามติ
(Public
Opinion) เป็นมติมหาชนที่แสดงออกโดยไม่ใช่เป็นการออกเสียง
เป็นปฏิกิริยาที่แสดงความพอใจหรือไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อการกระทำบางอย่างของรัฐบาล
7. การประชาพิจารณ์
(Public
Hearing) รัฐจะทำโครงการใหญ่ที่มีผลกระทบถึงสาธารณะต้องให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้แสดงความเห็นและประชาพิจารณ์
8. การระงับยับยั้งการออกกฎหมายหรือโครงการของรัฐ
(Veto)
รูปแบบการปกครอง
1. การปกครองแบบคนเดียว เป็นการปกครองที่คน ๆ เดียวมีอำนาจสูงสุด เช่น
กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
2. การปกครองแบบคนกลุ่มน้อย
เป็นการปกครองที่ประกอบด้วยคนกลุ่มเดียวที่ได้อำนาจมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร
และทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ผูกขาดอำนาจแต่เพียงคนกลุ่มเดียว เช่น
การปกครองแบบคณาธิปไตย อภิชนาธิปไตย คอมมิวนิสต์
3. การปกครองแบบกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นการปกครองที่คนกลุ่มใหญ่มีส่วนร่วมในทางการเมือง เช่น
การปกครองในระบบประชาธิปไตย
การปกครองในระบอบเผด็จการ
การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม คือ
การปกครองแบบเผด็จการที่ยึดหลักว่าอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในรัฐจะต้องรวมอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มเดียวซึ่งมีการรวมอำนาจ
เช่น การรวมอำนาจด้วยวิธีการปฏิวัติรัฐประหาร
ผู้ที่ยึดอำนาจรัฐได้จะเป็นรัฐบาลโดยที่รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใดโดยเฉพาะไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
เพราะเป็นฐานอำนาจมิได้มาจากประชาชน
การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม ได้แก่
อัตตาธิปไตย (Authocracy) หรือการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช
กษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองโดยไม่มีขอบเขตจำกัด เช่น จักรพรรดิซีซาร์
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นต้น
คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประกอบด้วยคนกลุ่มเดียว (ไม่ใช่ระบบเผด็จการโดยคน ๆ เดียว) คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง
อำนาจการปกครองประเทศอย่างแท้จริง อำนาจการปกครองถูกผูกขาดโดยคนกลุ่มเดียว เช่น
คณะปฏิวัติ
อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยชนกลุ่มน้อย
ซึ่งตามปกติมักจะเป็นผู้มีตำแหน่งสูงในทางราชการ เช่น พวกขุนนาง
หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้มีอำนาจในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในอดีตบางประเทศ
กลุ่มขุนนาง หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน มีอำนาจเหล่านี้
จะเข้าปกครองประเทศซึ่งผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดรูปรัฐบาลเผด็จการ
การปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ได้แก่
ฟาสซิส (Fascism) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและถูกบังคับ
โดยมีความเชื่อว่า คนเกิดมาเพื่อรัฐ และจะต้องรับใช้รัฐตลอดไป
รัฐที่เข้มแข็งกว่าย่อมได้สิทธิในการปกครองผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องสละสิทธิดังกล่าว
การปกครองโดยคนกลุ่มน้อย หรือคน ๆ เดียวเป็นการปกครองที่ดีที่สุด
เพราะมีประสิทธิภาพช่วยช่วยให้ประเทศชาติเจริญอย่างรวดเร็ว
และถือว่ารัฐเป็นเสมือนสิ่งที่มีชีวิต ย่อมต้องเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา
เหมือนรัฐจะต้องเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งมีการขยายดินแดน เพราะฉะนั้น
สงครามจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เช่น รัฐบาลภายใต้พรรคฟาสซิสของมุสโสลินี
ปัจจุบันผู้ที่นิยม ทหารนิยม ชาตินิยม
เชื้อชาตินิยม หรือจักรวรรดินิยม ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกฟาสซิส
ฉะนั้นพวกนาซีและฟาสซิสจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะขยายดินแดน ขยายการควบคุมเข้าไปในส่วนต่าง
ๆ ในโลก เพราะถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของชาติตน
โดยถือว่าการครอบครองชาติอื่นเป็นคุณธรรม
เพราะยิ่งครอบครองชาติอื่นได้มากขึ้นเท่าใด
ชาติของตนก็จะมีฐานะเด่นมากขึ้นเท่านั้น
คอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ คิดขึ้นโดย คาร์ลมาร์กซ์ และเองเกลส์
ซึ่งต้องการให้มีรัฐบาลกลางภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจ
เพื่อควบคุมการเมืองและเศรษฐกิจของชาติ
โดยขจัดพวกที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือการผลิต
ต้องการให้มีการปฏิวัติและทำลายล้างระบบการเมืองอื่น ๆ ผู้ปกครองประเทศจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์พวกเดียวเท่านั้น
ประชาชนอื่นไม่มีสิทธิ
พวกคอมมิวนิสต์ถือว่าตนมีอำนาจปกครองเพราะอ้างว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ
เปรียบเทียบการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย
ป. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
ค. อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ
ป. ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดในการเลือกรัฐบาล
ค. รัฐบาลเลือกมาจากพรรคคอมมิวนิสต์
ป. รัฐบาลโดยเสียงข้างมาก
ค. รัฐบาลโดยพรรค
ป. ประชาชนมีสิทธิขั้นมูลฐาน
ค. ประชาชนต้องปฏิบัติตามแนวของรัฐบาล
ป. คือหลักการแบ่งแยกอำนาจ
ค. คือหลักประชาธิปไตยรวมศูนย์
ป. มีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์
ค. แข่งขันกันภายในพรรค
ป. ยึดหลักกฎหมาย
ค. ถือนโยบายของพรรคเป็นสำคัญ
ประชาธิปไตย (Democracy) คือ
ระบอบการปกครองของรัฐ
ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง
โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้
ทฤษฎีทางการเมือง คำว่า “ประชาธิปไตย” สามารถหมายถึงทั้งระบอบการปกครองและปรัชญาการเมือง
ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้
ประชาธิปไตยจะยังไม่มีการนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันก็ตาม
แต่ก็ได้ปรากฏให้เห็นหลักการสองหลักการที่ให้การนิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” แล้ว คือ
ความเสมอภาคและอิสรภาพหลักการดังกล่าวถูกสะท้อนให้เห็นผ่านทางความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคน
และมีสิทธิเข้าถึงอำนาจโดยเท่าเทียมกัน
ส่วนอิสรภาพได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ
ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองเสมอกันโดยรัฐธรรมนูญ
โดย รองศาสตราจารย์ประณต นันทิยะกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น