กฎอัยการ หรือ กฎพระอัยการ คือกฎหมายศึก
แปลว่า สงคราม หรือภาวะสงคราม
กฎอัยการศึก จึงแปลว่า กฎหมายยามศึกหรือกฎหมายในภาวะสงคราม เป็นมาตรการทางกฎหมายอย่างหนึ่งของทหาร
และเป็นกฎหมายที่เวลาปกติมีอยู่แต่ไม่ได้ใช้บังคับ
เวลาจะใช้ต้องประกาศและกำหนดเขตพื้นที่ที่จะใช้ เป็นพื้นที่ใช้กฎอัยการศึก
กฎอัยการศึก
เป็นสิ่งสากลจำเป็นสำหรับทหารในประเทศ
เมื่อประกาศใช้เหนือเขตพื้นที่ใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในบางเรื่องที่กำหนด
ประชาชนต้องถูกรอนสิทธิ์เสรีภาพในบางเรื่อง จึงเป็นกฎหมายที่ถูกรังเกียจ
แต่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาชาติประเทศให้อยู่รอดในภาวะวิกฤต
บางประเทศไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อังกฤษ
สหรัฐอเมริกา แต่บางประเทศก็ยอมรับและตราเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเปิดเผย เช่น
ฝรั่งเศสไทย
ประเทศไทยตรากฎหมายกฎอัยการศึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คือ “ กฎอัยการศึก ร . ศ .126” ตรงกับ พ . ศ .2450 ปีที่ประเทศไทยปรับปรุง
( ชำระ ) กฎหมายขนานใหญ่ให้ทันสมัยเพื่อจะได้ของฝรั่งยกเลิกเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไทยเสียเอกราชทางศาลอยู่
ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลไทยท่านหนึ่งชื่อนายยอร์ช ปาร์ดู เป็นชาวฝรั่งเศส
ร่างพระธรรมนูญศาลทหารบกเสร็จ
กฎหมายฉบับนี้มีภาคหนึ่งว่าด้วยศาลทหารระหว่างประเทศใช้กฎอัยการศึก จึงจำเป็นต้องร่างกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึกออกมารองรับ
จึงเป็นที่มาของ “ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ร . ศ .126”
กฎอัยการศึก ร . ศ .126 มีเพียง 8
มาตรา
ถอดแบบมาจาก กฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึกของฝรั่งเศส 9 สิงหาคม 1843
( พ
. ศ .2392) โดยกำหนดว่าเมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจ (
มาตรา 8) คือ
1. มีอำนาจที่จะเจ้าค้นที่หนึ่งที่ใด
เวลาใดก็ได้
2. มีอำนาจขับไล่ผู้ใดซึ่งไม่มีภูมิลำเนาเป็นหลักฐานอยู่ในตำบลนั้น
3. มีอำนาจบังคับให้คนในตำบลนั้นส่งอาวุธและกระสุตดินปืนที่มีอยู่ไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและมี
อำนาจตรวจและจับกุมอาวุธและกระสุนดินปืน
และสิ่งของต้องห้ามในการสงคราม
กฎอัยการศึก ร . ศ .126 นี้
ใช้อยู่เพียง 7 ปี ก็ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพุทธศักราช
2457 เหตุผลซึ่งแจ้งไว้ในพระราชปรารภของกฎหมายก็คือ
อำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่จะทำการใดๆ ( อำนาจ 3 อย่างข้างต้น
) ยังหาตรงกับระเบียบพิชัยสงคราม อันจะได้รักษาความเรียบร้อยปราศจากภัยที่จะมีมาจากภายนอก
หรือเกิดขึ้นภายในได้สะดวกไม่ จึงควรแก้ไขกฎอัยการศึกให้สมกับกาลสมัย
สรุปเหตุผลที่ยกเลิกกฎหมายก็คือ
กองทัพไทยรบตามแบบพิชัยสงครามของอินเดีย จะอาศัยอำนาจฝ่ายทหารเพียง 3 อย่าง เช่น
การรบของฝรั่งเศส ไม่พอ ไม่เหมาะสม จึงต้องแก้ไขปรับปรุง
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457
ฉบับนี้ยังใช้อยู่จนปัจจุบัน
มีสาระสำคัญ คือ
1. การประกาศกฎอัยการศึก
จะเป็นไปโดยพระบรมราชโองการ หรือผู้บังคับบัญชาทหารที่มีกำลังอยู่
ใต้บังคับบัญชา ไม่น้อยกว่า 1 กองพัน
ประกาศใช้ก็ได้ แต่ การยกเลิกใช้กฎอัยการศึกจะเป็นไปได้ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเลิกใช้เท่านั้น
2. ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกษา
ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมี อำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน
ในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือ การรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฎิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
( มาตรา 6)
3. เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในตำบลใด
เมืองใด มณฑลใด เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะ
ตรวจค้น ที่จะเกณฑ์ ที่จะห้าม ที่จะยึด
ที่จะเข้าอาศัย ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ และที่จะขับไล่ ( มาตรา 8)
4. ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด
ในเรื่องอำนาจที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตามข้อ 3. บุคคล
หรือบริษัทใดจะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย
…( มาตรา 16)
มาตราการทางกฏหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
โดยกฎอัยการศึกนี้
ได้รับการยอมรับอย่างมั่นคงในรัฐธรรมนูญแห่งราชาอาณาจักรไทยตลอดมา
ฉบับปัจจุบันก็ปรากฎความในมาตรา 222 ว่า

ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน
เจ้าหน้าที่ ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น