วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


                                                                  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

             ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    ความหมาย
  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง การแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐ ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยรัฐหรือตัวแสดงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รัฐ ซึ่งส่งผลถึงความร่วมมือหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล หรือสังคม ซึ่งเกิดขึ้นข้ามขอบเขตของกลุ่มสังคมการเมืองหนึ่ง ๆ ในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยด้วยกัน หรือกลุ่มคนไทยด้วยกันในประเทศไทย ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนลาวถือว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคมโลก

ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐดังที่กล่าวข้างต้นนั้น อาจมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้
1.
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจกระทำอย่างเป็นทางการโดยรัฐ หรือโดยตัวแทนที่ชอบธรรมของรัฐ เช่นการประชุมสุดยอด การดำเนินการทางการฑูต การแถลงการณ์ประท้วง การยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติ หรืออาจเป็นการกระทำไม่เป็นทางการ เช่น การก่อการร้าย การกระทำจารกรรม การโจมตีประเทศหนึ่งโดยสื่อมวลชนของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กระทำการในนามของรัฐ เป็นต้น
2.
ความสัมพันธ์ในลักษณะร่วมมือหรือขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น หากไม่ร่วมมือก็ขัดแย้ง ความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้ง เช่น สงคราม การแทรกแซงบ่อนทำลาย การขยายจักรวรรดินิยม การผนวกดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ส่วนความร่วมมือ ได้แก่ การกระชับความสัมพันธ์ทางการฑูต การร่วมเป็นพันธมิตร การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นี้อาจมีลักษณะผสมผสานกันได้ เช่น บางครั้งรุนแรง บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งเป็นทางการ บางครั้งกึ่งทางการ หรือบางครั้งร่วมมือในเรื่องหนึ่งแต่ขัดแย้งในอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น

ขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีขอบเขตที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1.
ความสัมพันธ์ทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมข้ามพรมแดนเพื่อมีอิทธิพลหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดจนการตัดสินใจขององค์การหรือรัฐบางต่างประเทศ เช่น การดำเนินการทางการฑูต การทหาร การแสวงหาพันธมิตร การแทรกแซงบ่อนทำลายประเทศอื่น การใช้กำลังบีบบังคับ การกำหนดและดำเนินนโยบายต่างประเทศ เป็นต้น กิจกรรมบางเรื่องอาจไม่เป็นกิจกรรมการเมืองโดยตรง แต่หากมีวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็ถือเป็นกิจกรรมการเมืองเช่นกัน เช่น การแลกเปลี่ยนทีมนักปิงปองระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2514 มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเนื่องจากประเทศทั้งสองต้องการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือผ่อนคลายความตึงเครียด และรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ หลังจากเป็นศัตรูกันมาตลอด กิจกรรมเช่นนี้เรียกว่า การเมืองระหว่างประเทศ
2.
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หมายถึง กิจกรรมการแลกเปลี่ยนทรัพยากรด้านบริการหรือวัตถุเพื่อตอบสนองความต้องการในการอุปโภคของผู้แลกเปลี่ยน เช่น การซื้อขายสินค้า การให้ทุนกู้ยืม การธนาคาร เป็นต้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีทรัพยากรแตกต่างและไม่เท่าเทียมกัน และยังต้องการทรัพยากรของประเทศอื่นหรือบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีทรัพยากรน้ำมัน แต่ยังต้องการรักษาน้ำมันสำรองในปัจจุบันจึงซื้อน้ำมันจากประเทศเม็กซิโก และประเทศอาหรับ ความต้องการทรัพยากรซึ่งกันและกันเช่นนี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากร (วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เกษตรกรรม เทคโนโลยี บริการ ฯลฯ) โดยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าโดยการซื้อขาย ให้ แลกเปลี่ยน ยืม ก็ตาม โดยมีกฎเกณฑ์หรือแนวทางปฏิบัติบางประการทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ การตั้งกำแพงภาษี การกำหนดอัตราหุ้นและดอกเบี้ย เป็นต้น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้ เรียกว่า เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
3.
ความสัมพันธ์ทางสังคม หมายถึง กิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์ในการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา การศาสนา วัฒนธรรม การพักผ่อนหย่อนใจ การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมข้ามขอบเขตพรมแดนของรัฐ เช่น การส่งฑูตวัฒนธรรมหรือคณะนาฎศิลป์ไปแสดงในประเทศต่าง ๆ การเผยแพร่ศาสนาโดยตัวแทนทางศาสนาของประเทศอื่น การเผยแพร่ศิลปะของประเทศหนึ่งในประเทศอื่น เป็นต้น
4.
ความสัมพันธ์ทางกฎหมาย เมื่อมีการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ข้ามเขตพรมแดนของรัฐมากขึ้น เพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวดำเนินไปโดยเรียบร้อยและมีระเบียบแบบแผน ประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือแนวทางปฏิบัติที่แต่ละประเทศพึงยึดถือปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ขึ้น กฎเกณฑ์หรือระเบียบนี้อาจปรากฏในรูปข้อตกลงลายลักษณ์อักษร ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า สนธิสัญญา อนุสัญญา กติกาสัญญา กฎบัตร ความตกลง ฯลฯ หรืออาจเป็นความเข้าใจกันซึ่งแต่ละฝ่ายยึดถือปฏิบัติโดยไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ ซึ่งเรียกว่า กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณีต่างเรียกว่า กฎหมายระหว่างประเทศทั้งสิ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้รัฐ หรือตัวแสดงอื่น ๆ ระหว่างประเทศได้ประพฤติปฏิบัติตนตามกติกาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมโลก ซึ่งครอบคลุมความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการเมือง เช่น สนธิสัญญาทางพันธมิตร สนธิสัญญาทางไมตรี กฎบัตร สหประชาชาติ ด้านเศรษฐกิจ เช่น สนธิสัญญาจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศ ข้อตกลงเรื่องการค้าและพิกัดภาษี ด้านสังคม เช่น สิทธิมนุษยชน การแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและวัฒนธรรม ด้านเทคโนโลยี เช่น ความตกลงเรื่องการค้นคว้าในอวกาศ เป็นต้น
5.
ความสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ประเภทนี้มุ่งให้มีการแลกเปลี่ยนพัฒนาความรู้และความช่วยเหลือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น มีการร่วมมือกันค้นคว้าทดลองและวิจัยในบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา การร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์หลายประเทศ เพื่อกำจัดโรคภัยไข้เจ็บสำคัญ เช่น โรคมะเร็ง การร่วมมือกันส่งเสริมพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การให้รางวัลระหว่างประเทศ จัดการประชุมสัมมนาระหว่างประเทศ เป็นต้น

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


ความสัมพันธ์ระหว่าง AECและประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
     ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ประกอบด้วย 3 ประชาคมคือ
1. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
 2. ประชาคมความมั่นคงอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน จะเห็นได้ว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเพียงประชาคมเดียวที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและสร้างความตื่นตัวในประเทศอย่างมากมาย ในขณะที่อีก 2 ประชาคมคนทั่วไปมักไม่ค่อยได้ข้อมูลและข่าวสาร เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจาก
      ประการแรก ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของคนเป็นจำนวนมากและมีผลกระทบต่อความได้เปรียบ – เสียเปรียบเชิงการแข่งขันทั้งของประเทศและธุรกิจความจำเป็นในการรับรู้และปรับตัวจึงสูงดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง
      ประการที่ 2 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีเป้าหมายและเงื่อนเวลาในการบรรลุที่ชัดเจนและครอบคลุมได้กว้าง เช่น จะเปิดเสรีสินค้าจนภาษีเหลือศูนย์เมื่อใด ก็จะมีการกำหนดเงื่อนเวลาไว้ที่ ค.ศ. 2010 สำหรับ 6 ประเทศสมาชิกเก่าและค.ศ. 2015 สำหรับ 4 ประเทศสมาชิกใหม่ เปิดเสรีบริการ 5 ประเภทและเปิดเสรีแรงงานมีฝีมือ 8 ประเภทให้บรรลุในกรอบเวลาค.ศ. 2015 เป็นต้น ผิดกับอีก 2 ประชาคมซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกำหนดกรอบในเชิงกว้างได้ยกเว้นการกำหนดเป็นเรื่องของโครงการรายละเอียดเท่านั้นเอง
      ประการที่3    ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ถือว่าเป็นจักรกลในการขับเคลื่อน (Driver) ที่นำไปสู่ผลกระทบที่กว้างและลึก ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการเมืองและความมั่นคงและอีกส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม กล่าวอีกนัยหนึ่งประชาคมความมั่นคงและประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนมีลักษณะเป็นผลสืบเนื่องที่มีการพัฒนามาจากผลของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั่นเอง
      ความจริงนั้นการรวมกลุ่มในกรอบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนโดยอัตโนมัติจะทำให้เกิดการรวมกลุ่มในทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มาจากเหตุผลที่ว่าเมื่อมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ เงินทุนและแรงงานในกรอบ AEC สิ่งที่เกิดตามมาก็คือการเคลื่อนย้ายของวิถีชีวิตและค่านิยมอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนจึงเป็นเพียงบทต่อเนื่อง (Logical Sequence) ของการรวมกลุ่มในกรอบของ AEC หมายความว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกรอบของ "ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน" จึงเลี่ยงไม่พ้นในเรื่องของวิถีชีวิตไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาพยนตร์ อาหาร การศึกษา ความเป็นอยู่และอื่นๆ โครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยภายในกรอบของประเด็นต่างๆ เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าพูดถึงประเด็นหลักของการรวมตัวในทางสังคมและวัฒนธรรมของอาเซียนอันเป็นส่วนหนึ่งของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนนั้นอาจจะวิเคราะห์ได้ว่า 10 ประเทศอาเซียนจะต้องขยายความร่วมมือ
      ด้านการศึกษาตั้งแต่เด็กไปจนถึงระดับอุดมศึกษารวมถึงครูบาอาจารย์ ขยายความร่วมมือส่งเสริมในเรื่องของการแสดง ดนตรี หรือภาพยนตร์ เช่นในกรณีของประชาคมยุโรปที่มีรายการ Euro -Vision ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงประจำปีของประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ตัวอย่างนี้จึงเป็นภาพฉายของความร่วมมือที่กำลังเกิดขึ้นและจะมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่นในด้านการท่องเที่ยวหรือในด้านอาหารการกินท้องถิ่นของประเทศสมาชิกก็จะแพร่หลายไปประเทศอื่นๆ ทั้งที่เกิดจากความตั้งใจร่วมมือจัดกิจกรรมส่งเสริมหรือผลพลอยได้จากการเคลื่อนย้ายของคน ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนตลอดจนนักการศึกษา ข้าราชการ เป็นต้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็คือจะมีอาหารแปลกๆ ที่ไม่มีสัญชาติ (Fusion)  ในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งทุกวันนี้ก็มีการขยายตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะมีเพิ่มมากขึ้น เช่น ที่เห็นกันทุกวันนี้คือ สปาเกตตีใส่ใบโหระพาและปลาเค็ม แกงเขียวหวานไก่และโรตี ลาบปลาแซลมอน เป็นต้น
      การรวม 10 ประเทศอาเซียนในกรอบของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งการเผยแพร่วัฒนธรรมระหว่างกันทั้งยังทำให้เกิดการนำเอาวัฒนธรรมมาผสมผสานกันในแต่ละประเทศซึ่งจะก่อให้เกิดวัฒนธรรมแบบใหม่ๆ ที่อาจคาดไม่ถึงในปัจจุบัน
      ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเป็นอย่างมากในภูมิภาคกลุ่มประเทศอาเซียนที่ไม่เพียงแต่นำมาซึ่งการขยายตัวและความผูกพันทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและนั่นคือ  "จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ที่กำลังก่อตัวขึ้น
 

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

                                                                   
                                                                    กฎอัยการศึก


       กฎอัยการ หรือ กฎพระอัยการ คือกฎหมายศึก แปลว่า สงคราม หรือภาวะสงคราม
กฎอัยการศึก จึงแปลว่า กฎหมายยามศึกหรือกฎหมายในภาวะสงคราม เป็นมาตรการทางกฎหมายอย่างหนึ่งของทหาร และเป็นกฎหมายที่เวลาปกติมีอยู่แต่ไม่ได้ใช้บังคับ เวลาจะใช้ต้องประกาศและกำหนดเขตพื้นที่ที่จะใช้ เป็นพื้นที่ใช้กฎอัยการศึก
กฎอัยการศึก เป็นสิ่งสากลจำเป็นสำหรับทหารในประเทศ เมื่อประกาศใช้เหนือเขตพื้นที่ใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในบางเรื่องที่กำหนด ประชาชนต้องถูกรอนสิทธิ์เสรีภาพในบางเรื่อง จึงเป็นกฎหมายที่ถูกรังเกียจ แต่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาชาติประเทศให้อยู่รอดในภาวะวิกฤต
บางประเทศไม่มีเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แต่บางประเทศก็ยอมรับและตราเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเปิดเผย เช่น ฝรั่งเศสไทย
ประเทศไทยตรากฎหมายกฎอัยการศึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ กฎอัยการศึก ร . ศ .126” ตรงกับ พ . ศ .2450 ปีที่ประเทศไทยปรับปรุง ( ชำระ ) กฎหมายขนานใหญ่ให้ทันสมัยเพื่อจะได้ของฝรั่งยกเลิกเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไทยเสียเอกราชทางศาลอยู่ ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลไทยท่านหนึ่งชื่อนายยอร์ช ปาร์ดู เป็นชาวฝรั่งเศส ร่างพระธรรมนูญศาลทหารบกเสร็จ กฎหมายฉบับนี้มีภาคหนึ่งว่าด้วยศาลทหารระหว่างประเทศใช้กฎอัยการศึก จึงจำเป็นต้องร่างกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึกออกมารองรับ จึงเป็นที่มาของ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ร . ศ .126”
กฎอัยการศึก ร . ศ .126 มีเพียง 8 มาตรา ถอดแบบมาจาก กฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึกของฝรั่งเศส 9 สิงหาคม 1843 ( พ . ศ .2392) โดยกำหนดว่าเมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจ ( มาตรา 8) คือ
1. มีอำนาจที่จะเจ้าค้นที่หนึ่งที่ใด เวลาใดก็ได้
2. มีอำนาจขับไล่ผู้ใดซึ่งไม่มีภูมิลำเนาเป็นหลักฐานอยู่ในตำบลนั้น
3. มีอำนาจบังคับให้คนในตำบลนั้นส่งอาวุธและกระสุตดินปืนที่มีอยู่ไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและมี
อำนาจตรวจและจับกุมอาวุธและกระสุนดินปืน และสิ่งของต้องห้ามในการสงคราม
กฎอัยการศึก ร . ศ .126 นี้ ใช้อยู่เพียง 7 ปี ก็ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพุทธศักราช
2457 เหตุผลซึ่งแจ้งไว้ในพระราชปรารภของกฎหมายก็คือ อำนาจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่จะทำการใดๆ ( อำนาจ 3 อย่างข้างต้น ) ยังหาตรงกับระเบียบพิชัยสงคราม อันจะได้รักษาความเรียบร้อยปราศจากภัยที่จะมีมาจากภายนอก หรือเกิดขึ้นภายในได้สะดวกไม่ จึงควรแก้ไขกฎอัยการศึกให้สมกับกาลสมัย
สรุปเหตุผลที่ยกเลิกกฎหมายก็คือ กองทัพไทยรบตามแบบพิชัยสงครามของอินเดีย จะอาศัยอำนาจฝ่ายทหารเพียง 3 อย่าง เช่น การรบของฝรั่งเศส ไม่พอ ไม่เหมาะสม จึงต้องแก้ไขปรับปรุง
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ฉบับนี้ยังใช้อยู่จนปัจจุบัน มีสาระสำคัญ คือ
1. การประกาศกฎอัยการศึก จะเป็นไปโดยพระบรมราชโองการ หรือผู้บังคับบัญชาทหารที่มีกำลังอยู่
ใต้บังคับบัญชา ไม่น้อยกว่า 1 กองพัน ประกาศใช้ก็ได้ แต่ การยกเลิกใช้กฎอัยการศึกจะเป็นไปได้ต่อเมื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเลิกใช้เท่านั้น
2. ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกษา ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมี อำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน
ในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือ การรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนต้องปฎิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ( มาตรา 6)
3. เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในตำบลใด เมืองใด มณฑลใด เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะ
ตรวจค้น ที่จะเกณฑ์ ที่จะห้าม ที่จะยึด ที่จะเข้าอาศัย ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ และที่จะขับไล่ ( มาตรา 8)
4. ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด ในเรื่องอำนาจที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตามข้อ 3. บุคคล
หรือบริษัทใดจะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้เลย …( มาตรา 16)
มาตราการทางกฏหมายที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร โดยกฎอัยการศึกนี้ ได้รับการยอมรับอย่างมั่นคงในรัฐธรรมนูญแห่งราชาอาณาจักรไทยตลอดมา ฉบับปัจจุบันก็ปรากฎความในมาตรา 222 ว่า
มาตรา 222 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึกตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก
ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก

 

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

การจัดการตามหลักการจัดการทั่วไป (General principles of management)
ตามทฤษฎีการจัดการของ Henri Fayol
       Fayol มีความเชื่อว่า เป็นไปได้ที่เราจะหาทางศึกษาถึงศาสตร์ที่เกี่ยวกับการบริหาร (Administrative sceinces) ซึ่งสามารถใช้ได้กับการบริหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานอุตสาหกรรมหรืองานรัฐบาล   
         Fayol ได้สรุปสาระสำคัญตามแนวความคิดของตนไว้ดังนี้ คือ
1. กี่ยวกับหน้าที่การจัดการ (management functions) Fayol ได้อธิบายถึงกระบวนการจัดการงานว่า ประกอบด้วยหน้าที่ (functions) ทางการจัดการ 5 ประการ คือ
    1.       การวางแผน (Planning) หมายถึง ภาระหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องทำการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ และกำหนดขึ้นเป็นแผนการปฏิบัติงานหรือวิถีทางที่จะปฏิบัติเอาไว้ เพื่อสำหรับเป็นแนวทางของการทำงานในอนาคต  
 2.       การจัดองค์การ (Organizing) หมายถึง ภาระหน้าที่ที่ผู้บริหารจำต้องจัดให้มีโครงสร้างของงานต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องจักร สิ่งของและตัวคน อยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสม ในอันที่จะช่วยให้งานขององค์การบรรลุผลสำเร็จได้
 3.       การบังคับบัญชาสั่งการ (Commanding) หมายถึง หน้าที่ในการสั่งงานต่าง ๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งกระทำให้สำเร็จผลด้วยดี โดยที่ผู้บริหารจะต้องกระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี จะต้องเข้าใจคนงานของตน         
4.       การประสานงาน (Coordinating) หมายถึง ภาระหน้าที่ที่จะต้องเชื่อมโยงงานของทุกคนให้เข้ากันได้ และกำกับให้ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
 5.       การควบคุม (Controlling) หมายถึง ภาระหน้าที่ในการที่จะต้องกำกับให้สามารถประกันได้ว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำไปนั้นสามารถเข้ากันได้กับแผนที่ได้วางไว้แล้ว
        ทั้ง 5 หน้าที่ที่ Fayol ได้วิเคราะห์แยกแยะไว้นี้ ถือได้ว่าเป็นวิถีทางที่จะให้ผู้บริหารทุกคน สามารถบริหารงานของตนให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายได้
 2. ผู้บริหารจะต้องมีคุณลักษณะพร้อมความสามารถทางร่างกาย จิตใจ ไหวพริบ การศึกษาหาความรู้ เทคนิคในการทำงาน และประสบการณ์ต่าง ๆ
     Fayol แยกแยะให้เห็นว่าคุณสมบัติทางด้าน เทคนิควิธีการทำงาน นั้น สำคัญที่สุดในระดับคนงานธรรมดา แต่สำหรับระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นความสามารถทางด้านบริหาร จะเพิ่มความสำคัญตามลำดับ และมีความสำคัญมากที่สุดในระดับผู้บริหารขั้นสุดยอด (Top executive) ควรจะได้มีการอบรม (training) ความรู้ทางด้านบริหารควบคู่กันไปกับความรู้ทางด้านเทคนิคในการทำงาน
3. เกี่ยวกับหลักจัดการ (Management principles) Fayol ได้วางหลักทั่วไปที่ใช้ในการบริหารไว้ 14 ข้อ ซึ่งใช้สำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหาร หลักทั่วไปดังกล่าวมีดังนี้คือ
1.       หลักที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (authority & responsibility) คือ อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ ผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่จะออกคำสั่งได้นั้น ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลงานที่ตนทำไปนั้นด้วย
2.       หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (unity of command) คือ ในการกระทำใด ๆ คนงานควรได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนในคำสั่งด้วยการปฏิบัติตามหลักข้อนี้ ย่อมจะช่วยให้สามารถขจัดสาเหตุแห่งการเกิดข้อขัดแย้งระหว่างแผนกงาน และระหว่างบุคคลในองค์การให้หมดไป
3.       หลักของการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน (unity of direction) กิจกรรมของกลุ่มที่มีเป้าหมายอันเดียวกันควรจะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน เป็นไปตามแผนงานเพียงอันเดียวร่วมกัน
4.       หลักของการธำรงไว้ซึ่งสายงาน (scalar chain) สายงานอันนี้คือสายการบังคับบัญชาจากระดับสูงมายังระดับต่ำสุด ด้วยสายการบังคับบัญชาดังกล่าวจะอำนวยให้การบังคับบัญชาเป็นไปตามหลักของการมีผู้บัคับบัญชาเพียงคนเดียว และช่วยให้เกิดระเบียบในการส่งทอดข่าวสารข้อมูลระหว่างกันอีกด้วย
5.       หลักของการแบ่งงานกันทำ (division of work or specialization) คือ การแบ่งแยกงานกันทำตามความถนัด โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นงานด้านบริหารหรือด้านเทคนิค
6.       หลักเกี่ยวกับระเบียบวินัย (discipline) โดยถือว่าระเบียบวินัยในการทำงานนั้น เกิดจากการปฏิบัติตามข้อตกลงในการทำงาน ทั้งนี้โดยมุ่งที่จะก่อให้เกิดการเคารพเชื่อฟัง และทำงานตามหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เรื่องดังกล่าวนี้ จะทำได้ก็โดยที่ผู้บังคับบัญชาต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นตัวอย่างที่ดี ข้อตกลงระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา จะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมมากที่สุด และจะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างคงเส้นคงวา
7.       หลักของการถือประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นรองประโยชน์ส่วนรวม (subordination of individual to general interest) หลักข้อนี้ระบุว่า ส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าส่วนย่อยต่าง ๆ เพื่อที่จะให้สำเร็จผลตามเป้าหมายของกลุ่ม (องค์การ) นั้น ผลประโยชน์ส่วนได้เสียของกลุ่มย่อมต้องสำคัญเหนืออื่นใดทั้งหมด
8.       หลักของการให้ผลประโยชน์ตอบแทน (remuneration) การให้และวิธีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนควรที่จะยุติธรรม และให้ความพอใจมากที่สุดแก่ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง
9.       หลักของการรวมอำนาจไว้ส่วนกลาง (centralization) หมายถึง ว่าในการบริหารจะมีการรวมอำนาจไว้ที่จุดศูนย์กลาง เพื่อให้ควบคุมส่วนต่าง ๆ ขององค์การไว้ได้เสมอ และการกระจายอำนาจจะมากน้อยเพียงใดก็ย่อมแล้วแต่กรณี
10.    หลักของความมีระเบียบเรียบร้อย (order) ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสิ่งของหรือคนต่างต้องมีระเบียบและรู้ว่าตนอยู่ในที่ใดของส่วนรวม หลักนี้ก็คือหลักมูลฐานที่ใช้ในการจัดสิ่งของและตัวคนในการจัดองค์การนั่นเอง
11.    หลักของความเสมอภาค (equity) ผู้บริหารต้องยึดถือความเอื้ออารีและความยุติธรรมเป็นหลักปฏิบัติต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความจงรักภักดี และการอุทิศตนเพื่องาน
12.    หลักของความมีเสถียรภาพของการว่าจ้างทำงาน (stability of tanure) กล่าวว่า ทั้งผู้บริหารและคนงานต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อเรียนรู้งานจนทำงานได้ดี การที่คนเข้าออกมากย่อมเป็นสาเหตุให้ต้องสิ้นเปลือง และเป็นผลของการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
13.    หลักของความคิดริเริ่ม (initiative) เนื่องจากว่าคนฉลาดย่อมต้องการที่จะได้รับความพอใจจากการที่ตนได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาควรจะเปิดโอกาสให้ผู้น้อยได้ใช้ความริเริ่มของตนบ้าง
14.    หลักของความสามัคคี (esprit de corps) เน้นถึงความจำเป็นที่คนต้องทำงานเป็นกลุ่มที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (teamwork) และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการติดต่อสื่อสาร (communication) เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มทำงานที่ดี