วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

                                                                           กฎหมายคืออะไร
                มนุษย์เป็นสัตว์สังคม โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่คนเดียวได้ จึงต้องรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นพวก เป็นกลุ่มเป็นก้อน เริ่มจากสังคมเล็กๆระดับครอบครัว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นก็รวมกันเป็นเผ่าเป็นกลุ่มชนและสุดท้ายเผ่าที่มีสายพันธุ์เดียวกันก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นกลุ่มชนใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นรัฐเป็นประเทศการที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจำเป็นที่ต้องมีการติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนปัจจัยในการดำรงชีวิตบางครั้งมนุษย์ก็มีความต้องการที่จะทำอะไรตามใจตนเองบ้างซึ่งการกระทำนั้นอาจเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นไม่พอใจจนเกิดความขัดแย้งวุ่นวายขึ้นมาได้มนุษย์จึงต้องสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน เพื่อให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบสุขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่า บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ประกอบด้วย
                1. วิถีชาวบ้าน (Folkways) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่อยู่ในรูปของประเพณีนิยม ที่สมาชิกในสังคมปฏิบัติสืบต่อกันมา ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกติฉินนินทาว่าร้าย เช่น การแต่งกาย กิริยามารยาททางสังคมในโอกาสต่าง ๆ เป็นต้น
                2. จารีต (Mores) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ยึดหลักความดีความชั่ว กฎเกณฑ์ทางศาสนา เป็นเรื่องของความรู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกหากใครละเมิดฝ่าฝืนจะได้รับการต่อต้านจากสมาชิกในสังคมอย่างจริงจังอาจถูกกีดกันออกจากสังคม หรือไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เช่น การลักเล็กขโมยน้อย การเนรคุณบิดามารดา หรือผู้มีพระคุณ เป็นต้น
                3. กฎหมาย (Laws) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน แน่นอน ว่ากระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานใด จะได้รับอย่างไร เช่น ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต เป็นต้น
                เกณฑ์ของความประพฤติทั้งสามประการดังกล่าว สองประการแรกไม่ได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนการลงโทษผู้ละเมิดฝ่าฝืนก็ไม่รุนแรงประการที่สามกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดใช้ได้ผลมากที่สุดในการควบคุมความประพฤติของมนุษย์ดังนั้นสังคมมนุษย์ทุกสังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันดังคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีสังคมที่นั่นมีกฎหมาย
­                                                  ความหมายของกฎหมาย
                กฎหมาย หมายถึง คำสิ่งหรือข้อบังคับของรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย
­                                                    ลักษณะของกฎหมาย
                การปกครองประเทศให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบสุขนั้น รัฐจำเป็นจะต้องออกคำสั่ง ข้อบังคับต่าง ๆ มากมาย คำสั่ง ข้อบังคับเหล่านั้นมิได้เป็นกฎหมายทุกฉบับคำสั่งข้อบังคับของรัฐที่จะถือว่าเป็นกฎหมายได้นั้น ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
                1. มาจากรัฏฐาธิปัตย์ หมายความว่า ผู้ที่จะออกกฎหมายได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ซึ่งจะเป็นใครนั้นต้องแล้วแต่สถานการณ์หรือรูปแบบการปกครองประเทศไทยสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองและการออกกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวปัจจุบันเราใช้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขรัฐธรรมนูญบัญญัติให้อำนาจอธิปไตยซึ่งเห็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทยและบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นอำนาจในการออกกฎหมายโดยความเห็นชอบของรัฐสภาในสถานการณ์ที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศ หัวหน้าคณะปฏิวัติก็มีอำนาจออกกฎหมายได้เพราะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้นจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ยังมีประกาศคณะปฏิวัติหลายฉบับที่ยังบังคับใช้เป็นกฎหมายอยู่
              2. เป็นคำสั่งข้อห้าม ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม หมายความว่า กฎหมายไม่ใช่คำขอร้องหรือแถลงการณ์เมื่อประกาศใช้แล้วประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามถึงแม้ว่าจะขัดต่อผลประโยชน์หรือไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับจะปฏิเสธไม่ได้ เช่น กฎหมายบังคับให้เสียภาษี บังคับให้ต้องรับราชการทหาร เป็นต้น
                3. ใช้ได้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว จะมีผลใช้บังคับได้กับประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง คนรวย คนจน ข้าราชการ แม้แต่พระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระราชวงศ์ก็ตาม และใช้ได้ทั่วไปทุกพื้นที่ในอาณาเขตประเทศไทย
                4. ใช้ได้เสมอไป หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว จะมีผลใช้บังคับได้ตลอดไป ไม่ว่าจะเก่าแก่ ล้าสมัย หรือนานเท่าใดก็ตาม จนกว่าจะมีการยกเลิก
                5. มีสภาพบังคับ หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ หรือตกอยู่ในสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ อาจจะหนักบ้าง เบาบ้างแล้วแต่ความผิดในกฎหมายอาญา สภาพบังคับเรียกว่าโทษ มีอยู่ 5 ประการ คือประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์ ในกฎหมายแพ่ง สภาพบังคับขึ้นอยู่กับการกระทำความผิด เช่น บังคับให้ชำระหนี้ ชดใช้ค่าเสียหาย หรือเสียดอกเบี้ย เป็นต้น  นอกจากนี้ในกฎหมายอื่น ๆ ก็อาจมีสภาพบังคับอื่น ๆ อีกก็ได้ เช่น  ข้าราชการที่ทำผิดวินัย อาจถูกตัดเงินเดือน สั่งพักราชการ ให้ออกปลดออกหรือไล่ออก เป็นต้น
                                        ความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องรู้กฎหมาย
                ดังได้กล่าวมาแล้วว่า กฎหมายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน  ทำให้สังคมมีระเบียบ วินัย และสงบเรียบร้อย หากไม่มีกฎหมาย มนุษย์ซึ่งมักจะชอบทำอะไรตามใจตนเอง ถ้าต่างตนต่างทำตามใจและการกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ก็จะเกิดปัญหา ความขัดแย้ง มีการล้างแค้นได้โต้ตอบกันไปโต้ตอบ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

                                            คำสั่งทางปกครอง
  คำสั่งทางปกครอง คือ คำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายสั่งให้ประชาชนทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหยุดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเป็นคำสั่งที่ให้สิทธิหรือตัดสิทธิประชาชนซึ่งคำสั่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อประชาชนคนใดคนหนึ่งสำหรับคำสั่งทางปกครองมีอยู่หลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น
1. การสั่งการ เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ไว้เพื่อให้มีคำสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย เช่น คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างไม่ถูกต้องตามแบบ คำสั่งให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากทางเท้าคำสั่งบรรจุแต่งตั้งเลื่อนขั้นเงินเดือน หรือคำสั่งลงโทษทางวินัย หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอหรือการทำสัญญาใดๆ กับทางราชการที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
2. การอนุญาตหรือไม่อนุญาต จะเกิดขึ้นในกรณีที่ประชาชนต้องการมีสิทธิดำเนินการบางเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน ซึ่งประชาชนจะต้องยื่นคำขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาคำขออนุญาตแล้วเห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็จะมีคำสั่งอนุญาต แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดก็จะมีคำสั่งไม่อนุญาต การอนุญาตหรือไม่อนุญาตนี้ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง เช่น การขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร การขออนุญาตเปิดสถานบริการการขออนุญาตมีอาวุธปืนหรือพกพา อาวุธปืน หรือการขออนุญาตเปิดโรงพยาบาล เป็นต้น
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ จะมีลักษณะคล้ายกับการอนุญาตหรือไม่อนุญาตแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนินการภายในระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน สำหรับการอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งบางเรื่องเท่านั้นที่จะถือเป็นคำสั่งทางปกครองได้ เช่นการอนุมัติให้ทางราชการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อสร้างอาคารสถานที่การอนุมัติ ให้จ้างผู้รับเหมาก่อสร้างการอนุมัติให้เช่าหรือเช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่ทำการ หรือการอนุมัติลักษณะอื่นที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้เงินสงเคราะห์คนชรา เป็นต้น
 4. การจดทะเบียน โดยปกติจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนต้องการจะใช้สิทธิตามกฎหมาย และการที่จะมีผลตามกฎหมายได้จะต้องมีการจดทะเบียนก่อนเท่านั้น กรณีที่เจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนหรือปฏิเสธการรับจดทะเบียนเมื่อประชาชนยื่นคำขอนั้น ถือเป็นคำสั่งทางปกครองประเภทหนึ่งเช่นกัน เช่น การจดทะเบียนสมรส การจดทะเบียนรับรองบุตรการจดทะเบียนรถยนต์ หรือการจดทะเบียนสัตว์พาหนะ เป็นต้น
5. การเพิกถอนใบอนุญาต กฎหมายในบางเรื่องให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการพิจารณาว่า กิจกรรมเรื่องใดที่รัฐเคยออกใบอนุญาตไปให้กับประชาชนเพื่อให้มีสิทธิบางอย่างตามกฎหมายหรือให้ประกอบกิจการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากประชาชน ที่ได้รับอนุญาตได้ฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วเจ้าหน้าที่ผู้ออกใบอนุญาตมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้นได้ เช่น การเพิกถอนใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนหรือพกพาอาวุธปืน การเพิกถอนการออกโฉนด, ที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เป็นต้น


วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                    รัฐศาสตร์กับวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ
   รัฐศาสตร์  เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับรัฐ หรือพฤติกรรมศาสตร์ของคนในดินแดน ความหมายของรัฐศาสตร์ มุ่งหนักในเรื่องสถาบันและความสัมพันธ์ที่เป็นทางการของสถาบันเหล่านั้น ดังนั้น
รัฐศาสตร์จึงศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ  รัฐบาล  เป็นต้น โดยมุ่งถึงตั้งสถาบันที่สอดคล้องกับการศึกษาแบบ นิตินิยม
    วิชารัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายพื้นฐานหรือกฎหมายแม่บท ในการกำหนดโครงสร้างรัฐ
ข้อบังคับร่วมกันหลักเสรีภาพเสมอภาคเท่ากันของคนในรัฐและการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
นักรัฐศาสตร์มีข้อโต้แย้งทันทีในเรื่องกระบวนการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเชิงนิติศาสตร์กับพฤติกรรมของสังคม โดยสรุปเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวิชากฎหมาย
รัฐธรรมนูญในแง่นิติศาสตร์กับเชิงรัฐศาสตร์ได้ดังต่อไปนี้
1.นิติศาสตร์ เป็นวิทยาสตร์แห่งปกติเป็นเรื่องการกำหนดวางวิธีการโดยความผูกพันที่ปฏิบัติหรืออำนาจมีลักษณะเป็นคำบรรยายและการตีความหมายตัวบทของมาตรา
2.นิติศาสตร์ มุ่งศึกษามองเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์ เชิงเหตุผลยึดตัวบทกฎหมายในการแก้ไข
ปัญหาสังคม
3.รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งข้อเท็จจริงแน่นอนและความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริง เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับผลการประพฤติปฏิบัติและการพิจารณาสังเกตและสรุปผลของการตรรกวิจารณ์
4.รัฐศาสตร์ มุ่งศึกษาการก้าวสู้การศึกษาในระบบพฤติกรรมศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่และมองความขัดแย้งของกฎหมายรัฐธรรมนูญกับสังคมในปัจจุบัน
   วิวัฒนาการของวิชารัฐศาสตร์กับวิชากฎหมาย รัฐศาสตร์ไม่ให้ใช้ความหมายเฉพาะรัฐหรือรัฐบาลเท่านั้นยังให้ความสำคัญกับกฎ  ข้อบังคับ หรือกฎหมายในการปกครองมากขึ้นไม่ค่อยยึดติดตัวผู้ปกครอง รัฐศาสตร์จึงหมายถึงศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ ระบบการเมือง
โครงสร้างทางสังคม ฯลฯ



วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                                         การเขียนโครงการ
ความหมายโครงการ
   ประกอบด้วย นโยบาย แผน  แผนงาน  โครงการ  กิจกรรม องค์กร  และบุคคลกร  เริ่มจากนโยบาย policy  ของรัฐบาลถูกนำมาจัดทำเป็นแผนชาติ planจากแผนชาติจะถูกนำไปปรับเปลี่ยนมาเป็นแผนกระทรวงๆprogram จากนั้นแผนกระทรวงจะถูกปรับต่อไปเป็นแผนกรมprogram แผนโครงการ project กิจกรรม activities และงาน taskในที่สุด โดยมีองค์กรในแต่ละระดับความรับผิดชอบ ภายในองค์กรจะประกอบด้วยทีมงานและบุคคลที่จะรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน เมื่อพิจารณาการพัฒนานโยบายและแผนจะเห็นได้ว่าเป็นการพัฒนาจากลักษณะที่เป็นนามธรรม และครอบคลุมการทำงานในหลายสาขาวิชาไปสู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้ มีลักษณะเฉพาะสาขาวิชา
     โครงการจึงจัดเป็นแผนย่อยที่เป็นแผนปฏิบัติการ และถูกจัดทำขึ้นในลักษณะป็นรูปธรรมมีความชัดเจนในระดับที่สามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้
     สรุป  การวางแผนแผนโครงการ เป็นการวางแผนส่วนย่อยลงมา  มีลักษณะที่สำคัญ  ดังนี้
1.เป็นแผนที่มีการกำหนดที่มีการกำหนดจุดเริ่มต้นแลจุดสิ้นสุดของแผนการ
2.ประกอบด้วยกิจกรรมย่อยๆที่พึ่งพิงและสอดคล้องกันภายนอกและภายในองค์กร
3.มีการใช้ทรัพยากรที่เกิดประโยชน์ ภายใต้เงื่อนไขภายนอกและภายในองค์กร
4.มีการระบุเป้าหมายสุดท้ายของโครงการม
5.มีสถานที่ตั้งของโครงการ อาจจะเป็นที่เดี่ยวหรือหลายแห่งก็ได้
        ลักษณะของโครงการที่ดี
1.เข้าใจง่าย มีการใช้ภาษาที่เข้าใจกันทั่วไปเพราะเป็นแผนในการปฏิบัติการ ภาษาที่ใช่จำเป็นต้องมีลักษณะเป็นรูปธรรม
2.มีวัตถุประสงค์หรือผลที่คาดหวังจากการดำเนินงานชัดเจน มีลักษณะเฉพาะเจาะจง
3.เห็นลำดับขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม
4.กำหนดรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติ
5.กำหนดการใช้ทรัพยากรอย่างชัดเจนและเหมาะสม
          การเขียนแผนโครงการ
การเขียนแผนโครงการ มีขั้นตอนการดำเนินงานเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1.ขั้นตอนแรกก่อนที่จะเริ่มเขียน
1.1การกำหนดกรอบความคิดเกี่ยวกับแผนและนโยบาย
1.2ข้อมูลที่ใช่ในการวางแผน ข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิ)
2.ขั้นตอนการเขียนแผนโครงการ
2.1 ชื่อโครงการ
2.2 หลักการและเหตุเผล
2.3 วัตถุประสงค์
2.4 กลุ่มเป้าหมาย
2.5 เป้าหมาย
2.6 วิธีดำเนินการหรือแผนงานย่อยหรือกิจกรรมย่อย
2.7 บุคคลหรือหน่วยงานรับผิดชอบ
2.8. งบประมาณ
2.9 สถานทีดำเนินการ
2.10 การติดตาม การควบคุม การกำกับงาน และการประเมินผล
2.11 ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.ขั้นตอนของการตรวจสอบโครงการที่เขียนขึ้น
3.1 การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา
3.2ความชัดเจนของหัวข้อ สอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่
   สรุป
  โครงการเป็นแผนงานย่อยที่จัดทำปฏิบัติการ และถูกจัดทำขึ้นมาในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมีความชัดเจนในระดับที่สามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ มีลักษณะที่สำคัญคือ เป็นแผนงานที่มีการกำหนดจุดเริ่มต้นของแผนงาน ประกอบด้วยกิจกรรมย่อยๆ ที่พึ่งพิงและสอดคล้องกันภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์
การตรวจสอบโครงการที่เขียนขึ้นเป็นงานในขั้นสุดท้าย เป็นการประเมินความครบถ้วนความชัดเจน และความสอดคล้องระหว่างหัวข้อต่างๆในโครงการ




วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                                         เคอร์ฟิว Curfew

     เคอร์ฟิว (ภาษาอังกฤษ Curfew) หมายถึง มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (1) ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น นอกจากนี้ มาตรา 9 (4)  ยังห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
เคอร์ฟิว จะมีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามออกจากเคหสถานในช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งช่วงเวลาที่เคอร์ฟิวนั้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจการและดำเนินการทางยุทธวิธี โดยไม่เป็นอันตรายแก่ประชาชน แต่หากพบว่าประชาชนคนไหนขัดขืนโดยไม่มีเหตุผล เหตุจำเป็น หรือหลักฐานแสดงตนชัดเจน ก็จะถือว่ามีเจตนาฝ่าฝืน ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะดำเนินการได้ เนื่องจากได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีการเคอร์ฟิว
     ทั้งนี้ เคอร์ฟิว เป็นการประกาศหลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าจำเป็น ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้เกิดความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย และเป็นการสะดวกในการแยกแยะกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ตัวอย่าง  การประกาศเคอร์ฟิว
รัฐบาล ประกาศเพื่อดูแลประชาชนที่มีเหตุการณ์ไม่สงบ เพื่อ การป้องกัน เหตุให้กลับคืนปกติ  ชอบด้วยกฎหมาย  (ผ่านกระทรวงมหาดไทยหรือสำนักนายกรัฐมนตรี)
การรัฐประหาร  การยึดอำนาจรัฐ  จำกัดสิทธิประชาชน เพื่อการ ยึดอำนาจทางการเมือง(ทหาร)เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

การลงโทษหากผู้ฝ่าฝืน เคอร์ฟิว
    สำหรับการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ในการประกาศเคอร์ฟิว เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ทางศูนย์อำนวยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แจ้งว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวกว่า 500 คน โดยได้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี แต่หากทำผิดซ้ำจะดำเนินคดีทันทีไม่รอลงอาญา ในส่วนของการประกาศเคอร์ฟิว 2557 ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวหรือมีการลงโทษแล้วแต่อย่างใด
เคอร์ฟิว ภาคใต้
       จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมานั้น ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 หารือถึงการออกประกาศเคอร์ฟิว เนื่องจากเป็นการปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่วันนี้ ก็มีนักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า สถานการณ์ภาคใต้ ยังไม่รุนแรงถึงต้องประกาศเคอร์ฟิว พร้อมทั้งแนะนำให้เจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ เน้นการตรวจตราตามจุดตรวจต่าง ๆ เพิ่มการลาดตระเวนแทน เพราะการประกาศเคอร์ฟิวภาคใต้อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งวิถีของชาวมุสลิมส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อไปละหมาด และโดยสถิติแล้วผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มักไม่ก่อเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จะก่อเหตุในช่วงเช้าหรือตอนกลางวัน

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ระบบการปกครองนาซี

     นาซี (อังกฤษ: Nazism บ้างสะกดว่า Naziismเยอรมัน: Nationalsozialismus) หรือ ชาติสังคมนิยม เป็นอุดมการณ์และวิถีปฏิบัติของพรรคนาซีและนาซีเยอรมนีจัดเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองประเภทเดียวกับฟาสซิสต์หากมีปัจจัยของลัทธิเชื้อชาติในเชิงวิทยาศาสตร์และลัทธิความเป็นอคติต่อชาวเซมิติคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนาซีได้มีลักษณะของการเมืองเชิงประสานทัศน์ นโยบายการรวมเข้าด้วยกัน ยุทธวิธีและหลักปรัชญาจากอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ในทางปฏิบัติ นาซีถือว่าเป็นอุดมการณ์ประเภทขวาจัด
อุดมการณ์นาซีเชื่อในความสูงสุดของเชื้อชาติอารยัน และกล่าวอ้างว่าชาวเยอรมันเป็นชาติอารยันที่บริสุทธิ์ที่สุดพวกเขากล่าวอ้างว่าความอยู่รอดของประเทศเยอรมนีในฐานะชาติที่ยิ่งใหญ่ในสมัยใหม่นี้จำต้องสร้างระเบียบโลกใหม่ขึ้น เป็นจักรวรรดิในทวีปยุโรปซึ่งจะทำให้ชาติเยอรมันมีผืนดินขนาดใหญ่ ทรัพยากร ตลอดจนการขยายตัวของประชากรที่จำเป็นต่อการแข่งขันกับมหาอำนาจอื่น ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร
พวกนาซีกล่าวอ้างว่าชาวยิวเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของเชื้อชาติอารยันและชาติเยอรมัน พวกเขาพิจารณาว่าชาวยิวเป็นเชื้อชาติเบียดเบียนซึ่งแนบตนเองเข้ากับอุดมการณ์และขบวนการอื่น ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของตนเอง อาทิ การเรืองปัญญา เสรีนิยม ประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ทุนนิยม การกลายเป็นอุตสาหกรรม มาร์กซิสต์ และสหภาพแรงงาน
เพื่อกอบกู้เยอรมนีจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีเสนอตำแหน่งที่สามในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจภายใต้การจัดการซึ่งมิใช่ทั้งทุนนิยมหรือคอมมิวนิสต์นาซีกล่าวโทษคอมมิวนิสต์และทุนนิยมว่าเข้าร่วมกับอิทธิพลและผลประโยชน์ของชาวยิวพวกเขาสนับสนุนสังคมนิยมรูปแบบชาตินิยมซึ่งเป็นหลักการสำหรับเชื้อชาติอารยันและชาติเยอรมัน: ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โครงการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ใช้แรงงาน ค่าจ้างที่ยุติธรรม เกียรติยศสำหรับความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่มีต่อชาติ และการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของทุนนิยม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง ฝ่ายเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียและพันธมิตร ลัทธินาซีได้ยุติลงไปอย่างโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่นั้นมาลัทธินาซีก็ได้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับประเทศเยอรมันจนถึงปัจจุบัน

แต่อย่างไรก็ตามยังมีพวกกลุ่มหนึ่งที่มีความนิยมและมีความคิดที่จะฟื้นฟูลัทธินาซีที่เรียกตนเองว่า นีโอนาซี

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                    ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย
รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ หมายถึงกฎหมายสูงสุดในการจัดการปกครองรัฐ
ในความหมายอย่างแคบ "รัฐธรรมนูญ" ต้องมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่ใช่สิ่งเดียวกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" มีความหมายกว้างกว่าและจะเป็นรูปแบบลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณีก็ได้
รัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั้น มีทั้งเป็นลักษณะลายลักษณ์อักษร และลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยที่ลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากจะใช้หลักของจารีต ประเพณีการปกครองแล้ว กฎหมายทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญด้วย
ทุกประเทศทั่วโลกมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ทั้งประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รวมถึงประเทศที่ปกครองระบอบเผด็จการ เพื่อใช้เป็นหลักหรือเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ
ระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้มีขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งในระบบบทกฎหมายไทย เพื่อกำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นกฎเกณฑ์สำคัญเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ บางมาตราที่บัญญัติหลักการไว้อย่างกว้าง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้มีความกระจ่างแจ้ง ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องบัญญัติไว้ในตัวบทแห่งรัฐธรรมนูญให้มีความยาวมากเกินไป และเพื่อที่จะได้สะดวกแก่การแก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่ต้องดำเนินการตามวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ทำได้ยากกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คือบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เป็นประจำตามปรกติ เพื่อวางระเบียบบังคับความประพฤติของบุคคลรวมทั้งองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีฐานะสูงกว่าบทกฎหมายอื่น ๆ นอกจากรัฐธรรมนูญ ก่อนประกาศใช้บังคับ
พระราชบัญญัติมีอยู่ชนิดเดียว แต่บัดนี้รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติให้มีพระราชบัญญัติขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐธรรมนูญฯ บังคับให้ตราขึ้นเพื่อกำหนดสาระสำคัญในรายละเอียดในกรณีบางเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดหลักการไว้ เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541
การตราพระราชบัญญัตินั้นจะทำได้ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
 คำว่า พระราชบัญญัติ เป็นชื่อเรียกกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อนุญาต สำหรับประเทศอื่นที่พระมหากษัตริย์ไม่ใช่ผู้อนุญาต (เช่นประธานาธิบดี) จะเรียกว่า รัฐบัญญัติ
 พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหารในสถานการณ์อันมีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แห่งรัฐแล้วแต่กำหนดไว้ในกฎหมายแม่ของแต่ละประเทศ พระราชกำหนดมีอำนาจบังคับเช่นพระราชบัญญัติอันตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ
พระราชกำหนดไว้เรียกกฎหมายเช่นนั้นซึ่งประกาศใช้ในประเทศอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ส่วนรัฐกำหนดสำหรับประเทศอันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
พระราชกฤษฎีกา
การตราพระราชกฤษฎีกา รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ต่อไป
กฎกระทรวง เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรประเภทหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ หรือแห่งกฎหมายที่มีฐานะเสมอกัน เป็นต้นว่า ประมวลกฎหมาย พระราชกำหนด กฎกระทรวงนั้นเดิมเรียกว่า กฎเสนาบดี
กฎกระทรวงนั้น เดิมเรียก "กฎเสนาบดี" ต่อมามีพระราชบัญญัติเทียบตำแหน่งรัฐมนตรีกับเสนาบดีแต่ก่อน พุทธศักราช 2475 ซึ่งมาตรา 3 ว่า "ในพระราชบัญญัติและบทกฎหมายอื่นใดซึ่งประกาศใช้อยู่ในเวลานี้ คำว่า 'เสนาบดี' ให้อ่านเป็น 'รัฐมนตรี' คำที่กล่าวถึงเสนาบดีกระทรวงใด ๆ ให้หมายความว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ และคำว่า 'กฎเสนาบดี' ให้อ่านเป็น 'กฎกระทรวง'"ประกาศกระทรวง หมายถึง กฎหมายที่ตราขึ้น โดยรัฐมนตรีที่รักษาตามพระราชบัญญัติ ที่ให้อำนาจในการตราประกาศกระทรวงนั้น ทั้งนี้ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับกฎกระทรวง
 ดังนั้น จะเห็นว่า กฎกระทรวงและประกาศกระทรวง มีความแตกต่างกันที่ขั้นตอนการพิจารณา โดยกฎกระทรวงต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรีก่อน แต่ประกาศกระทรวงไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง และประกาศกระทรวง มีผลใช้บังคับเหมือนกัน

ข้อบัญญัติท้องถิ่น ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา หรือ  จังหวัด  เทศบาล  ตำบล

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557


                                                                  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

             ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    ความหมาย
  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง การแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐ ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยรัฐหรือตัวแสดงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รัฐ ซึ่งส่งผลถึงความร่วมมือหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล หรือสังคม ซึ่งเกิดขึ้นข้ามขอบเขตของกลุ่มสังคมการเมืองหนึ่ง ๆ ในกรณีความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยด้วยกัน หรือกลุ่มคนไทยด้วยกันในประเทศไทย ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนลาวถือว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคมโลก

ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐดังที่กล่าวข้างต้นนั้น อาจมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้
1.
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจกระทำอย่างเป็นทางการโดยรัฐ หรือโดยตัวแทนที่ชอบธรรมของรัฐ เช่นการประชุมสุดยอด การดำเนินการทางการฑูต การแถลงการณ์ประท้วง การยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติ หรืออาจเป็นการกระทำไม่เป็นทางการ เช่น การก่อการร้าย การกระทำจารกรรม การโจมตีประเทศหนึ่งโดยสื่อมวลชนของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กระทำการในนามของรัฐ เป็นต้น
2.
ความสัมพันธ์ในลักษณะร่วมมือหรือขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น หากไม่ร่วมมือก็ขัดแย้ง ความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้ง เช่น สงคราม การแทรกแซงบ่อนทำลาย การขยายจักรวรรดินิยม การผนวกดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ส่วนความร่วมมือ ได้แก่ การกระชับความสัมพันธ์ทางการฑูต การร่วมเป็นพันธมิตร การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นี้อาจมีลักษณะผสมผสานกันได้ เช่น บางครั้งรุนแรง บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งเป็นทางการ บางครั้งกึ่งทางการ หรือบางครั้งร่วมมือในเรื่องหนึ่งแต่ขัดแย้งในอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น

ขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีขอบเขตที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1.
ความสัมพันธ์ทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมข้ามพรมแดนเพื่อมีอิทธิพลหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดจนการตัดสินใจขององค์การหรือรัฐบางต่างประเทศ เช่น การดำเนินการทางการฑูต การทหาร การแสวงหาพันธมิตร การแทรกแซงบ่อนทำลายประเทศอื่น การใช้กำลังบีบบังคับ การกำหนดและดำเนินนโยบายต่างประเทศ เป็นต้น กิจกรรมบางเรื่องอาจไม่เป็นกิจกรรมการเมืองโดยตรง แต่หากมีวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็ถือเป็นกิจกรรมการเมืองเช่นกัน เช่น การแลกเปลี่ยนทีมนักปิงปองระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2514 มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองเนื่องจากประเทศทั้งสองต้องการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือผ่อนคลายความตึงเครียด และรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ หลังจากเป็นศัตรูกันมาตลอด กิจกรรมเช่นนี้เรียกว่า การเมืองระหว่างประเทศ
2.
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ หมายถึง กิจกรรมการแลกเปลี่ยนทรัพยากรด้านบริการหรือวัตถุเพื่อตอบสนองความต้องการในการอุปโภคของผู้แลกเปลี่ยน เช่น การซื้อขายสินค้า การให้ทุนกู้ยืม การธนาคาร เป็นต้น เนื่องจากแต่ละประเทศมีทรัพยากรแตกต่างและไม่เท่าเทียมกัน และยังต้องการทรัพยากรของประเทศอื่นหรือบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีทรัพยากรน้ำมัน แต่ยังต้องการรักษาน้ำมันสำรองในปัจจุบันจึงซื้อน้ำมันจากประเทศเม็กซิโก และประเทศอาหรับ ความต้องการทรัพยากรซึ่งกันและกันเช่นนี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากร (วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เกษตรกรรม เทคโนโลยี บริการ ฯลฯ) โดยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าโดยการซื้อขาย ให้ แลกเปลี่ยน ยืม ก็ตาม โดยมีกฎเกณฑ์หรือแนวทางปฏิบัติบางประการทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ การตั้งกำแพงภาษี การกำหนดอัตราหุ้นและดอกเบี้ย เป็นต้น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้ เรียกว่า เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
3.
ความสัมพันธ์ทางสังคม หมายถึง กิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์ในการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา การศาสนา วัฒนธรรม การพักผ่อนหย่อนใจ การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมข้ามขอบเขตพรมแดนของรัฐ เช่น การส่งฑูตวัฒนธรรมหรือคณะนาฎศิลป์ไปแสดงในประเทศต่าง ๆ การเผยแพร่ศาสนาโดยตัวแทนทางศาสนาของประเทศอื่น การเผยแพร่ศิลปะของประเทศหนึ่งในประเทศอื่น เป็นต้น
4.
ความสัมพันธ์ทางกฎหมาย เมื่อมีการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ข้ามเขตพรมแดนของรัฐมากขึ้น เพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวดำเนินไปโดยเรียบร้อยและมีระเบียบแบบแผน ประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือแนวทางปฏิบัติที่แต่ละประเทศพึงยึดถือปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ขึ้น กฎเกณฑ์หรือระเบียบนี้อาจปรากฏในรูปข้อตกลงลายลักษณ์อักษร ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า สนธิสัญญา อนุสัญญา กติกาสัญญา กฎบัตร ความตกลง ฯลฯ หรืออาจเป็นความเข้าใจกันซึ่งแต่ละฝ่ายยึดถือปฏิบัติโดยไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ ซึ่งเรียกว่า กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณีต่างเรียกว่า กฎหมายระหว่างประเทศทั้งสิ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้รัฐ หรือตัวแสดงอื่น ๆ ระหว่างประเทศได้ประพฤติปฏิบัติตนตามกติกาเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมโลก ซึ่งครอบคลุมความสัมพันธ์ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการเมือง เช่น สนธิสัญญาทางพันธมิตร สนธิสัญญาทางไมตรี กฎบัตร สหประชาชาติ ด้านเศรษฐกิจ เช่น สนธิสัญญาจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศ ข้อตกลงเรื่องการค้าและพิกัดภาษี ด้านสังคม เช่น สิทธิมนุษยชน การแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและวัฒนธรรม ด้านเทคโนโลยี เช่น ความตกลงเรื่องการค้นคว้าในอวกาศ เป็นต้น
5.
ความสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ประเภทนี้มุ่งให้มีการแลกเปลี่ยนพัฒนาความรู้และความช่วยเหลือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น มีการร่วมมือกันค้นคว้าทดลองและวิจัยในบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา การร่วมมือกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์หลายประเทศ เพื่อกำจัดโรคภัยไข้เจ็บสำคัญ เช่น โรคมะเร็ง การร่วมมือกันส่งเสริมพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การให้รางวัลระหว่างประเทศ จัดการประชุมสัมมนาระหว่างประเทศ เป็นต้น