วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

                                                                           กฎหมายคืออะไร
                มนุษย์เป็นสัตว์สังคม โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่คนเดียวได้ จึงต้องรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นพวก เป็นกลุ่มเป็นก้อน เริ่มจากสังคมเล็กๆระดับครอบครัว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นก็รวมกันเป็นเผ่าเป็นกลุ่มชนและสุดท้ายเผ่าที่มีสายพันธุ์เดียวกันก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นกลุ่มชนใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นรัฐเป็นประเทศการที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจำเป็นที่ต้องมีการติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนปัจจัยในการดำรงชีวิตบางครั้งมนุษย์ก็มีความต้องการที่จะทำอะไรตามใจตนเองบ้างซึ่งการกระทำนั้นอาจเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นไม่พอใจจนเกิดความขัดแย้งวุ่นวายขึ้นมาได้มนุษย์จึงต้องสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน เพื่อให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบสุขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่า บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ประกอบด้วย
                1. วิถีชาวบ้าน (Folkways) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่อยู่ในรูปของประเพณีนิยม ที่สมาชิกในสังคมปฏิบัติสืบต่อกันมา ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกติฉินนินทาว่าร้าย เช่น การแต่งกาย กิริยามารยาททางสังคมในโอกาสต่าง ๆ เป็นต้น
                2. จารีต (Mores) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ยึดหลักความดีความชั่ว กฎเกณฑ์ทางศาสนา เป็นเรื่องของความรู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกหากใครละเมิดฝ่าฝืนจะได้รับการต่อต้านจากสมาชิกในสังคมอย่างจริงจังอาจถูกกีดกันออกจากสังคม หรือไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เช่น การลักเล็กขโมยน้อย การเนรคุณบิดามารดา หรือผู้มีพระคุณ เป็นต้น
                3. กฎหมาย (Laws) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน แน่นอน ว่ากระทำอย่างไร เป็นความผิดฐานใด จะได้รับอย่างไร เช่น ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต เป็นต้น
                เกณฑ์ของความประพฤติทั้งสามประการดังกล่าว สองประการแรกไม่ได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนการลงโทษผู้ละเมิดฝ่าฝืนก็ไม่รุนแรงประการที่สามกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดใช้ได้ผลมากที่สุดในการควบคุมความประพฤติของมนุษย์ดังนั้นสังคมมนุษย์ทุกสังคมจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันดังคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีสังคมที่นั่นมีกฎหมาย
­                                                  ความหมายของกฎหมาย
                กฎหมาย หมายถึง คำสิ่งหรือข้อบังคับของรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย
­                                                    ลักษณะของกฎหมาย
                การปกครองประเทศให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบสุขนั้น รัฐจำเป็นจะต้องออกคำสั่ง ข้อบังคับต่าง ๆ มากมาย คำสั่ง ข้อบังคับเหล่านั้นมิได้เป็นกฎหมายทุกฉบับคำสั่งข้อบังคับของรัฐที่จะถือว่าเป็นกฎหมายได้นั้น ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
                1. มาจากรัฏฐาธิปัตย์ หมายความว่า ผู้ที่จะออกกฎหมายได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ซึ่งจะเป็นใครนั้นต้องแล้วแต่สถานการณ์หรือรูปแบบการปกครองประเทศไทยสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองและการออกกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวปัจจุบันเราใช้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขรัฐธรรมนูญบัญญัติให้อำนาจอธิปไตยซึ่งเห็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทยและบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นอำนาจในการออกกฎหมายโดยความเห็นชอบของรัฐสภาในสถานการณ์ที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศ หัวหน้าคณะปฏิวัติก็มีอำนาจออกกฎหมายได้เพราะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้นจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ยังมีประกาศคณะปฏิวัติหลายฉบับที่ยังบังคับใช้เป็นกฎหมายอยู่
              2. เป็นคำสั่งข้อห้าม ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม หมายความว่า กฎหมายไม่ใช่คำขอร้องหรือแถลงการณ์เมื่อประกาศใช้แล้วประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติตามถึงแม้ว่าจะขัดต่อผลประโยชน์หรือไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับจะปฏิเสธไม่ได้ เช่น กฎหมายบังคับให้เสียภาษี บังคับให้ต้องรับราชการทหาร เป็นต้น
                3. ใช้ได้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว จะมีผลใช้บังคับได้กับประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง คนรวย คนจน ข้าราชการ แม้แต่พระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระราชวงศ์ก็ตาม และใช้ได้ทั่วไปทุกพื้นที่ในอาณาเขตประเทศไทย
                4. ใช้ได้เสมอไป หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว จะมีผลใช้บังคับได้ตลอดไป ไม่ว่าจะเก่าแก่ ล้าสมัย หรือนานเท่าใดก็ตาม จนกว่าจะมีการยกเลิก
                5. มีสภาพบังคับ หมายความว่า กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ หรือตกอยู่ในสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ อาจจะหนักบ้าง เบาบ้างแล้วแต่ความผิดในกฎหมายอาญา สภาพบังคับเรียกว่าโทษ มีอยู่ 5 ประการ คือประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์ ในกฎหมายแพ่ง สภาพบังคับขึ้นอยู่กับการกระทำความผิด เช่น บังคับให้ชำระหนี้ ชดใช้ค่าเสียหาย หรือเสียดอกเบี้ย เป็นต้น  นอกจากนี้ในกฎหมายอื่น ๆ ก็อาจมีสภาพบังคับอื่น ๆ อีกก็ได้ เช่น  ข้าราชการที่ทำผิดวินัย อาจถูกตัดเงินเดือน สั่งพักราชการ ให้ออกปลดออกหรือไล่ออก เป็นต้น
                                        ความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องรู้กฎหมาย
                ดังได้กล่าวมาแล้วว่า กฎหมายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน  ทำให้สังคมมีระเบียบ วินัย และสงบเรียบร้อย หากไม่มีกฎหมาย มนุษย์ซึ่งมักจะชอบทำอะไรตามใจตนเอง ถ้าต่างตนต่างทำตามใจและการกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ก็จะเกิดปัญหา ความขัดแย้ง มีการล้างแค้นได้โต้ตอบกันไปโต้ตอบ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

                                            คำสั่งทางปกครอง
  คำสั่งทางปกครอง คือ คำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายสั่งให้ประชาชนทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหยุดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเป็นคำสั่งที่ให้สิทธิหรือตัดสิทธิประชาชนซึ่งคำสั่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อประชาชนคนใดคนหนึ่งสำหรับคำสั่งทางปกครองมีอยู่หลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น
1. การสั่งการ เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ไว้เพื่อให้มีคำสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย เช่น คำสั่งให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างไม่ถูกต้องตามแบบ คำสั่งให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากทางเท้าคำสั่งบรรจุแต่งตั้งเลื่อนขั้นเงินเดือน หรือคำสั่งลงโทษทางวินัย หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอหรือการทำสัญญาใดๆ กับทางราชการที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
2. การอนุญาตหรือไม่อนุญาต จะเกิดขึ้นในกรณีที่ประชาชนต้องการมีสิทธิดำเนินการบางเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน ซึ่งประชาชนจะต้องยื่นคำขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาคำขออนุญาตแล้วเห็นว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็จะมีคำสั่งอนุญาต แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดก็จะมีคำสั่งไม่อนุญาต การอนุญาตหรือไม่อนุญาตนี้ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง เช่น การขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร การขออนุญาตเปิดสถานบริการการขออนุญาตมีอาวุธปืนหรือพกพา อาวุธปืน หรือการขออนุญาตเปิดโรงพยาบาล เป็นต้น
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ จะมีลักษณะคล้ายกับการอนุญาตหรือไม่อนุญาตแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนินการภายในระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน สำหรับการอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งบางเรื่องเท่านั้นที่จะถือเป็นคำสั่งทางปกครองได้ เช่นการอนุมัติให้ทางราชการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อสร้างอาคารสถานที่การอนุมัติ ให้จ้างผู้รับเหมาก่อสร้างการอนุมัติให้เช่าหรือเช่าสถานที่เพื่อใช้เป็นที่ทำการ หรือการอนุมัติลักษณะอื่นที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้เงินสงเคราะห์คนชรา เป็นต้น
 4. การจดทะเบียน โดยปกติจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนต้องการจะใช้สิทธิตามกฎหมาย และการที่จะมีผลตามกฎหมายได้จะต้องมีการจดทะเบียนก่อนเท่านั้น กรณีที่เจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนหรือปฏิเสธการรับจดทะเบียนเมื่อประชาชนยื่นคำขอนั้น ถือเป็นคำสั่งทางปกครองประเภทหนึ่งเช่นกัน เช่น การจดทะเบียนสมรส การจดทะเบียนรับรองบุตรการจดทะเบียนรถยนต์ หรือการจดทะเบียนสัตว์พาหนะ เป็นต้น
5. การเพิกถอนใบอนุญาต กฎหมายในบางเรื่องให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการพิจารณาว่า กิจกรรมเรื่องใดที่รัฐเคยออกใบอนุญาตไปให้กับประชาชนเพื่อให้มีสิทธิบางอย่างตามกฎหมายหรือให้ประกอบกิจการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากประชาชน ที่ได้รับอนุญาตได้ฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้แล้วเจ้าหน้าที่ผู้ออกใบอนุญาตมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตนั้นได้ เช่น การเพิกถอนใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนหรือพกพาอาวุธปืน การเพิกถอนการออกโฉนด, ที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เป็นต้น