วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                    รัฐศาสตร์กับวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ
   รัฐศาสตร์  เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับรัฐ หรือพฤติกรรมศาสตร์ของคนในดินแดน ความหมายของรัฐศาสตร์ มุ่งหนักในเรื่องสถาบันและความสัมพันธ์ที่เป็นทางการของสถาบันเหล่านั้น ดังนั้น
รัฐศาสตร์จึงศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ  รัฐบาล  เป็นต้น โดยมุ่งถึงตั้งสถาบันที่สอดคล้องกับการศึกษาแบบ นิตินิยม
    วิชารัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายพื้นฐานหรือกฎหมายแม่บท ในการกำหนดโครงสร้างรัฐ
ข้อบังคับร่วมกันหลักเสรีภาพเสมอภาคเท่ากันของคนในรัฐและการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
นักรัฐศาสตร์มีข้อโต้แย้งทันทีในเรื่องกระบวนการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเชิงนิติศาสตร์กับพฤติกรรมของสังคม โดยสรุปเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวิชากฎหมาย
รัฐธรรมนูญในแง่นิติศาสตร์กับเชิงรัฐศาสตร์ได้ดังต่อไปนี้
1.นิติศาสตร์ เป็นวิทยาสตร์แห่งปกติเป็นเรื่องการกำหนดวางวิธีการโดยความผูกพันที่ปฏิบัติหรืออำนาจมีลักษณะเป็นคำบรรยายและการตีความหมายตัวบทของมาตรา
2.นิติศาสตร์ มุ่งศึกษามองเกี่ยวกับหลักนิติศาสตร์ เชิงเหตุผลยึดตัวบทกฎหมายในการแก้ไข
ปัญหาสังคม
3.รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งข้อเท็จจริงแน่นอนและความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริง เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับผลการประพฤติปฏิบัติและการพิจารณาสังเกตและสรุปผลของการตรรกวิจารณ์
4.รัฐศาสตร์ มุ่งศึกษาการก้าวสู้การศึกษาในระบบพฤติกรรมศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่และมองความขัดแย้งของกฎหมายรัฐธรรมนูญกับสังคมในปัจจุบัน
   วิวัฒนาการของวิชารัฐศาสตร์กับวิชากฎหมาย รัฐศาสตร์ไม่ให้ใช้ความหมายเฉพาะรัฐหรือรัฐบาลเท่านั้นยังให้ความสำคัญกับกฎ  ข้อบังคับ หรือกฎหมายในการปกครองมากขึ้นไม่ค่อยยึดติดตัวผู้ปกครอง รัฐศาสตร์จึงหมายถึงศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ ระบบการเมือง
โครงสร้างทางสังคม ฯลฯ



วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                                         การเขียนโครงการ
ความหมายโครงการ
   ประกอบด้วย นโยบาย แผน  แผนงาน  โครงการ  กิจกรรม องค์กร  และบุคคลกร  เริ่มจากนโยบาย policy  ของรัฐบาลถูกนำมาจัดทำเป็นแผนชาติ planจากแผนชาติจะถูกนำไปปรับเปลี่ยนมาเป็นแผนกระทรวงๆprogram จากนั้นแผนกระทรวงจะถูกปรับต่อไปเป็นแผนกรมprogram แผนโครงการ project กิจกรรม activities และงาน taskในที่สุด โดยมีองค์กรในแต่ละระดับความรับผิดชอบ ภายในองค์กรจะประกอบด้วยทีมงานและบุคคลที่จะรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน เมื่อพิจารณาการพัฒนานโยบายและแผนจะเห็นได้ว่าเป็นการพัฒนาจากลักษณะที่เป็นนามธรรม และครอบคลุมการทำงานในหลายสาขาวิชาไปสู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมที่สามารถปฏิบัติได้ มีลักษณะเฉพาะสาขาวิชา
     โครงการจึงจัดเป็นแผนย่อยที่เป็นแผนปฏิบัติการ และถูกจัดทำขึ้นในลักษณะป็นรูปธรรมมีความชัดเจนในระดับที่สามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้
     สรุป  การวางแผนแผนโครงการ เป็นการวางแผนส่วนย่อยลงมา  มีลักษณะที่สำคัญ  ดังนี้
1.เป็นแผนที่มีการกำหนดที่มีการกำหนดจุดเริ่มต้นแลจุดสิ้นสุดของแผนการ
2.ประกอบด้วยกิจกรรมย่อยๆที่พึ่งพิงและสอดคล้องกันภายนอกและภายในองค์กร
3.มีการใช้ทรัพยากรที่เกิดประโยชน์ ภายใต้เงื่อนไขภายนอกและภายในองค์กร
4.มีการระบุเป้าหมายสุดท้ายของโครงการม
5.มีสถานที่ตั้งของโครงการ อาจจะเป็นที่เดี่ยวหรือหลายแห่งก็ได้
        ลักษณะของโครงการที่ดี
1.เข้าใจง่าย มีการใช้ภาษาที่เข้าใจกันทั่วไปเพราะเป็นแผนในการปฏิบัติการ ภาษาที่ใช่จำเป็นต้องมีลักษณะเป็นรูปธรรม
2.มีวัตถุประสงค์หรือผลที่คาดหวังจากการดำเนินงานชัดเจน มีลักษณะเฉพาะเจาะจง
3.เห็นลำดับขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม
4.กำหนดรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติ
5.กำหนดการใช้ทรัพยากรอย่างชัดเจนและเหมาะสม
          การเขียนแผนโครงการ
การเขียนแผนโครงการ มีขั้นตอนการดำเนินงานเป็น 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย
1.ขั้นตอนแรกก่อนที่จะเริ่มเขียน
1.1การกำหนดกรอบความคิดเกี่ยวกับแผนและนโยบาย
1.2ข้อมูลที่ใช่ในการวางแผน ข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิ)
2.ขั้นตอนการเขียนแผนโครงการ
2.1 ชื่อโครงการ
2.2 หลักการและเหตุเผล
2.3 วัตถุประสงค์
2.4 กลุ่มเป้าหมาย
2.5 เป้าหมาย
2.6 วิธีดำเนินการหรือแผนงานย่อยหรือกิจกรรมย่อย
2.7 บุคคลหรือหน่วยงานรับผิดชอบ
2.8. งบประมาณ
2.9 สถานทีดำเนินการ
2.10 การติดตาม การควบคุม การกำกับงาน และการประเมินผล
2.11 ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.ขั้นตอนของการตรวจสอบโครงการที่เขียนขึ้น
3.1 การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหา
3.2ความชัดเจนของหัวข้อ สอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่
   สรุป
  โครงการเป็นแผนงานย่อยที่จัดทำปฏิบัติการ และถูกจัดทำขึ้นมาในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมีความชัดเจนในระดับที่สามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้ มีลักษณะที่สำคัญคือ เป็นแผนงานที่มีการกำหนดจุดเริ่มต้นของแผนงาน ประกอบด้วยกิจกรรมย่อยๆ ที่พึ่งพิงและสอดคล้องกันภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์
การตรวจสอบโครงการที่เขียนขึ้นเป็นงานในขั้นสุดท้าย เป็นการประเมินความครบถ้วนความชัดเจน และความสอดคล้องระหว่างหัวข้อต่างๆในโครงการ




วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                                         เคอร์ฟิว Curfew

     เคอร์ฟิว (ภาษาอังกฤษ Curfew) หมายถึง มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (1) ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น นอกจากนี้ มาตรา 9 (4)  ยังห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
เคอร์ฟิว จะมีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามออกจากเคหสถานในช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งช่วงเวลาที่เคอร์ฟิวนั้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจการและดำเนินการทางยุทธวิธี โดยไม่เป็นอันตรายแก่ประชาชน แต่หากพบว่าประชาชนคนไหนขัดขืนโดยไม่มีเหตุผล เหตุจำเป็น หรือหลักฐานแสดงตนชัดเจน ก็จะถือว่ามีเจตนาฝ่าฝืน ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะดำเนินการได้ เนื่องจากได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีการเคอร์ฟิว
     ทั้งนี้ เคอร์ฟิว เป็นการประกาศหลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าจำเป็น ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้เกิดความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย และเป็นการสะดวกในการแยกแยะกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ตัวอย่าง  การประกาศเคอร์ฟิว
รัฐบาล ประกาศเพื่อดูแลประชาชนที่มีเหตุการณ์ไม่สงบ เพื่อ การป้องกัน เหตุให้กลับคืนปกติ  ชอบด้วยกฎหมาย  (ผ่านกระทรวงมหาดไทยหรือสำนักนายกรัฐมนตรี)
การรัฐประหาร  การยึดอำนาจรัฐ  จำกัดสิทธิประชาชน เพื่อการ ยึดอำนาจทางการเมือง(ทหาร)เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

การลงโทษหากผู้ฝ่าฝืน เคอร์ฟิว
    สำหรับการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ในการประกาศเคอร์ฟิว เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ทางศูนย์อำนวยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แจ้งว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวกว่า 500 คน โดยได้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี แต่หากทำผิดซ้ำจะดำเนินคดีทันทีไม่รอลงอาญา ในส่วนของการประกาศเคอร์ฟิว 2557 ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวหรือมีการลงโทษแล้วแต่อย่างใด
เคอร์ฟิว ภาคใต้
       จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมานั้น ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 หารือถึงการออกประกาศเคอร์ฟิว เนื่องจากเป็นการปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่วันนี้ ก็มีนักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า สถานการณ์ภาคใต้ ยังไม่รุนแรงถึงต้องประกาศเคอร์ฟิว พร้อมทั้งแนะนำให้เจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ เน้นการตรวจตราตามจุดตรวจต่าง ๆ เพิ่มการลาดตระเวนแทน เพราะการประกาศเคอร์ฟิวภาคใต้อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งวิถีของชาวมุสลิมส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อไปละหมาด และโดยสถิติแล้วผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มักไม่ก่อเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จะก่อเหตุในช่วงเช้าหรือตอนกลางวัน

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ระบบการปกครองนาซี

     นาซี (อังกฤษ: Nazism บ้างสะกดว่า Naziismเยอรมัน: Nationalsozialismus) หรือ ชาติสังคมนิยม เป็นอุดมการณ์และวิถีปฏิบัติของพรรคนาซีและนาซีเยอรมนีจัดเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองประเภทเดียวกับฟาสซิสต์หากมีปัจจัยของลัทธิเชื้อชาติในเชิงวิทยาศาสตร์และลัทธิความเป็นอคติต่อชาวเซมิติคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนาซีได้มีลักษณะของการเมืองเชิงประสานทัศน์ นโยบายการรวมเข้าด้วยกัน ยุทธวิธีและหลักปรัชญาจากอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ในทางปฏิบัติ นาซีถือว่าเป็นอุดมการณ์ประเภทขวาจัด
อุดมการณ์นาซีเชื่อในความสูงสุดของเชื้อชาติอารยัน และกล่าวอ้างว่าชาวเยอรมันเป็นชาติอารยันที่บริสุทธิ์ที่สุดพวกเขากล่าวอ้างว่าความอยู่รอดของประเทศเยอรมนีในฐานะชาติที่ยิ่งใหญ่ในสมัยใหม่นี้จำต้องสร้างระเบียบโลกใหม่ขึ้น เป็นจักรวรรดิในทวีปยุโรปซึ่งจะทำให้ชาติเยอรมันมีผืนดินขนาดใหญ่ ทรัพยากร ตลอดจนการขยายตัวของประชากรที่จำเป็นต่อการแข่งขันกับมหาอำนาจอื่น ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร
พวกนาซีกล่าวอ้างว่าชาวยิวเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของเชื้อชาติอารยันและชาติเยอรมัน พวกเขาพิจารณาว่าชาวยิวเป็นเชื้อชาติเบียดเบียนซึ่งแนบตนเองเข้ากับอุดมการณ์และขบวนการอื่น ๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของตนเอง อาทิ การเรืองปัญญา เสรีนิยม ประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ทุนนิยม การกลายเป็นอุตสาหกรรม มาร์กซิสต์ และสหภาพแรงงาน
เพื่อกอบกู้เยอรมนีจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีเสนอตำแหน่งที่สามในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจภายใต้การจัดการซึ่งมิใช่ทั้งทุนนิยมหรือคอมมิวนิสต์นาซีกล่าวโทษคอมมิวนิสต์และทุนนิยมว่าเข้าร่วมกับอิทธิพลและผลประโยชน์ของชาวยิวพวกเขาสนับสนุนสังคมนิยมรูปแบบชาตินิยมซึ่งเป็นหลักการสำหรับเชื้อชาติอารยันและชาติเยอรมัน: ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โครงการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ใช้แรงงาน ค่าจ้างที่ยุติธรรม เกียรติยศสำหรับความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่มีต่อชาติ และการป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของทุนนิยม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบลง ฝ่ายเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียและพันธมิตร ลัทธินาซีได้ยุติลงไปอย่างโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่นั้นมาลัทธินาซีก็ได้เป็นที่ต้องห้ามสำหรับประเทศเยอรมันจนถึงปัจจุบัน

แต่อย่างไรก็ตามยังมีพวกกลุ่มหนึ่งที่มีความนิยมและมีความคิดที่จะฟื้นฟูลัทธินาซีที่เรียกตนเองว่า นีโอนาซี

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557


                                    ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย
รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ หมายถึงกฎหมายสูงสุดในการจัดการปกครองรัฐ
ในความหมายอย่างแคบ "รัฐธรรมนูญ" ต้องมีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่ใช่สิ่งเดียวกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" มีความหมายกว้างกว่าและจะเป็นรูปแบบลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณีก็ได้
รัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั้น มีทั้งเป็นลักษณะลายลักษณ์อักษร และลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยที่ลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากจะใช้หลักของจารีต ประเพณีการปกครองแล้ว กฎหมายทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญด้วย
ทุกประเทศทั่วโลกมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ทั้งประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รวมถึงประเทศที่ปกครองระบอบเผด็จการ เพื่อใช้เป็นหลักหรือเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ
ระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในรูปแบบพระราชบัญญัติ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้มีขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งในระบบบทกฎหมายไทย เพื่อกำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นกฎเกณฑ์สำคัญเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ บางมาตราที่บัญญัติหลักการไว้อย่างกว้าง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้มีความกระจ่างแจ้ง ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องบัญญัติไว้ในตัวบทแห่งรัฐธรรมนูญให้มีความยาวมากเกินไป และเพื่อที่จะได้สะดวกแก่การแก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่ต้องดำเนินการตามวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ทำได้ยากกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คือบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เป็นประจำตามปรกติ เพื่อวางระเบียบบังคับความประพฤติของบุคคลรวมทั้งองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีฐานะสูงกว่าบทกฎหมายอื่น ๆ นอกจากรัฐธรรมนูญ ก่อนประกาศใช้บังคับ
พระราชบัญญัติมีอยู่ชนิดเดียว แต่บัดนี้รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติให้มีพระราชบัญญัติขึ้นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐธรรมนูญฯ บังคับให้ตราขึ้นเพื่อกำหนดสาระสำคัญในรายละเอียดในกรณีบางเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดหลักการไว้ เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541
การตราพระราชบัญญัตินั้นจะทำได้ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา และเมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
 คำว่า พระราชบัญญัติ เป็นชื่อเรียกกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้อนุญาต สำหรับประเทศอื่นที่พระมหากษัตริย์ไม่ใช่ผู้อนุญาต (เช่นประธานาธิบดี) จะเรียกว่า รัฐบัญญัติ
 พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหารในสถานการณ์อันมีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แห่งรัฐแล้วแต่กำหนดไว้ในกฎหมายแม่ของแต่ละประเทศ พระราชกำหนดมีอำนาจบังคับเช่นพระราชบัญญัติอันตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ
พระราชกำหนดไว้เรียกกฎหมายเช่นนั้นซึ่งประกาศใช้ในประเทศอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ส่วนรัฐกำหนดสำหรับประเทศอันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
พระราชกฤษฎีกา
การตราพระราชกฤษฎีกา รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ต่อไป
กฎกระทรวง เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรประเภทหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ หรือแห่งกฎหมายที่มีฐานะเสมอกัน เป็นต้นว่า ประมวลกฎหมาย พระราชกำหนด กฎกระทรวงนั้นเดิมเรียกว่า กฎเสนาบดี
กฎกระทรวงนั้น เดิมเรียก "กฎเสนาบดี" ต่อมามีพระราชบัญญัติเทียบตำแหน่งรัฐมนตรีกับเสนาบดีแต่ก่อน พุทธศักราช 2475 ซึ่งมาตรา 3 ว่า "ในพระราชบัญญัติและบทกฎหมายอื่นใดซึ่งประกาศใช้อยู่ในเวลานี้ คำว่า 'เสนาบดี' ให้อ่านเป็น 'รัฐมนตรี' คำที่กล่าวถึงเสนาบดีกระทรวงใด ๆ ให้หมายความว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ และคำว่า 'กฎเสนาบดี' ให้อ่านเป็น 'กฎกระทรวง'"ประกาศกระทรวง หมายถึง กฎหมายที่ตราขึ้น โดยรัฐมนตรีที่รักษาตามพระราชบัญญัติ ที่ให้อำนาจในการตราประกาศกระทรวงนั้น ทั้งนี้ ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับกฎกระทรวง
 ดังนั้น จะเห็นว่า กฎกระทรวงและประกาศกระทรวง มีความแตกต่างกันที่ขั้นตอนการพิจารณา โดยกฎกระทรวงต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรีก่อน แต่ประกาศกระทรวงไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง และประกาศกระทรวง มีผลใช้บังคับเหมือนกัน

ข้อบัญญัติท้องถิ่น ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา หรือ  จังหวัด  เทศบาล  ตำบล